วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

กำเนิด 12นักษัตร กับตำนานแมวเกลียดหนู

 กำเนิด 12นักษัตร กับตำนานแมวเกลียดหนู

12 constellation_01อดีตกาลที่ยังไม่มีความเจริญใดๆ บนโลกมนุษย์ มนุษย์และสัตว์อยู่ร่วมกันตามธรรมชาติวิถี ธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์สูงสุด ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติมนุษย์ทุกคนไม่รู้จักปฏิธิน ไม่มี พ.ศ., ค.ศ ไม่มีวันที่ ไม่มีนฬิกา มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองอายุเท่าไหร่แล้ว เกิดเมื่อไหร่ และใครเกิดก่อนใคร ใครควรที่จะเป็นพี่, เป็นน้อง, เป็นลุง หรือเป็นอา… มนุษย์จึงได้แจ้งปัญหาดังกล่าวแก่เหล่าเทพ เทวดาบนชั้นฟ้า  เมื่อเหล่าเทวดาได้ทราบปัญหาของมนุษย์ดังกล่าว จึงได้พยายามหาวิธีที่จะแก้ไขปัญหาให้กับมนุษย์เหล่านั้น… เหล่าเทพ เทวดาพยามยามคิดกันอย่างหนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเหล่าทวยเทพ เทวดาก็มีคำตอบให้เหล่ามวลมนุษย์ โดยมีคำประกาศจากฝากฟ้าเบื้องบนว่า จะมีการจัดตั้งสัตว์ประจำปีขึ้นหรือ “นักษัตร” นั่นเอง  โดยคำประกาศดังกล่าวบอกว่าจะมีการคัดเลือกสัตว์บกจำนวน 12 ชนิดเพื่อที่จะเป็นสัญลักษณ์ประจำแต่ละปี เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณอายุ และเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำปีเกิด มนุษย์จะได้รู้ว่าใครเกิดก่อนใคร และใครเป็นพี่ ใครเป็นน้อง

หลังจากที่คำประกาศดังกล่าวได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นพื้นดิน สัตว์บกทุกตัวก็ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก รวมทั้งมวลมนุษย์ด้วยที่สวงสรรค์ได้เห็นความเดือดร้อนและหาวิธีแก้ปัญหาให้พวกเขา  โดยรายละเอียดในคำประกาศได้บอกไว้ว่า “ให้สัตว์บกทุกตัวที่คิดว่าตัวเองมีความรวดเร็วที่สุด 12ชนิด มาเข้าแถวเรียงกัน ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในวันแรกที่เปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวที่แสนจะหนาวเหน็บ เป็นฤดูใบไม้ผลิ”
และแล้วเช้าวันที่นัดหมายก็มาถึง เหล่าสัตว์ใหญ่น้อยที่อยู่ในหมู่บ้าน และในป่าต่างก็รีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วมาเข้าคิวตามที่นัดหมายเอาไว้ เพื่อที่จะรับเลือกให้เป็นตัวแทนแห่งแต่ละปีจนแถวนั้นยาวเหยียด ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูกันเป็นจำนวนนับแสน สัตว์ที่อยู่ในหมู่บ้านย่อมที่จะได้เปรียบสัตว์ที่อยู่ในป่าที่ห่างไกลด้วยระยะทางที่ใกล้กว่า จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปถึงช่วงสายๆ ของวันนั้น เหล่าเทพ เทวดาก็ได้ลงมาจากสวงสรรค์เพื่อตัดสินการคัดเลือกสัตว์แห่งปี . . . และแล้วคำตัดสินก็ออกมาจากเล่าเทพ เทวดา และความเห็นจากเหล่ามนุษย์ทุกคนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่แห่งนั้น สัตว์ที่ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นสัตว์แห่งปี 12 ชนิดที่มีความเร็ว และมาเข้าแถวก่อนใครๆ ได้แก่
1. หนู (ชวด), 2. วัว (ฉลู), 3. เสือ (ขาล), 4. กระต่าย (เถาะ), 5. มังกร (มะโรง), 6. งู (มะเส็ง), 7. ม้า (มะเมีย), 8. แพะ (มะแม), 9. ลิง (วอก), 10. ไก่ (ระกา), 11. หมา (จอ), 12. หมู (กุน)


12 Constellation_02

หลังจากคำตัดสินดังกล่าวข้างต้นแล้ว เหล่าเทวดาก็ใด้ประกาศว่า ให้ปีแรกที่มีการคัดเลือกเป็นปีแห่ง “หนู” เด็กทุกคนที่เกิดในช่วงปีดังกล่าวจะถือว่าเป็นเด็ก “ปีหนู” และให้เปลี่ยนสัตว์ประจำปีทุกครั้งในวันแรกของการเปลี่ยนฤดูกาลจากฤดูหนาวไปเป็นฤดูใบไม้ผลิ  สัตว์ทุกๆ ตัวที่ไม่ได้รับการคัดเลือกหรือมาเข้าแถวช้ากว่า หมู ต่างยอมรับในคำตัดสินดังกว่า เว้นแต่มีสัตว์อยู่เพียงชนิดเดียวที่ไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าวนั่นก็คือ แมว นั่นเอง..

แมว เป็นสัตว์ที่มีความว่องไว และมีความเร็วมาก เป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์ ซึ่งก็อยู่ใกล้กับสถานที่ที่ประกวด แมวจึงเป็นสัตว์บกตัวแรกที่มาถึงที่ประกวด และเข้าแถวก่อนใครๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันมาก่อนหนู และวัวเสียอีก แต่ทว่าด้วยความฉลาดของเจ้าหนู ซึ่งมันก็รู้อยู่แล้วว่า ด้วยความตัวเล็กของมัน ถ้าหากว่ามันเข้าแถวอยู่ระหว่าง แมว กับ วัว แล้วมันย่อมต้องเสียเปรียบ เพราะเหล่าเทวดา และมนุษย์อาจมองไม่เห็นมัน และมองข้ามมันไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตัดสินเจ้าหนูก็รีบวิ่งขึ้นไปยืนอยู่บนหัวของเจ้า วัวตัวใหญ่ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าหนูคิด เหล่าเทวดา และมนุษย์ต่างก็มองเห็นมันและเจ้าวัว แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเจ้าแมวเหมียว ที่ยืนอยู่ข้างล่าง และข้างหน้าของวัวแม้แต่คนเดียว ทำให้หนูได้รับคัดเลือกให้เป็นนักษัตรปีแรกและเป็นสัตว์บกที่มีความว่องไวมากที่สุด แต่แมวซึ่งมาเป็นตัวแรกกลับไม่ได้รับการคัดเลือก แน่นอนที่สุดว่าการกระทำของหนูในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าแมวเป็นอย่างมากซึ่งถ้าหากว่าเจ้าหนูไม่ปีนขึ้นไม่ยืนอยู่บนหัวของเจ้าวัวแล้วละก็ แมวยอมจะต้องได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 12 นักษัตรอย่างแน่นอน จากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นเหตุให้เจ้าแมวเกลียดหนูและสาบานว่า แมวทุกตัวจะขอเป็นศัตรูกับหนูทุกตัวทุกชาติ ทุกชาติไป มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลานว่าหนูนั้นขี้โกง และเป็นศัตรูกับเราชั่วกาลนาน…

เรื่องเล่าจากอดีต สู่ปัจจุบัน และจะเล่าต่อๆ กันไปในอนาคต

ฺBy : K.C.A.N

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ปราสาทหินเมืองพิมาย

ปราสาทหินพิมาย อารยะแห่งอดีตที่ส่งต่อมายังปัจจุบัน

ทริปนี้ต้องบอกเลยว่าต้อง อึด สู้ ฟัด  เพราะและเวลาน้อยและสถานที่กว้างมาก ปราสาทหินพิมาย เคยมาเมื่อนานมาแล้ว น่าจะเกินกว่า 10ปีขึ้นไป พิกัด GPS @15.2200053,102.4933357

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านไป 10-20ปี เพราะว่ามาทำงานที่อำเภอพิมาย ช่วงพักเที่ยง จึงได้มาเที่ยว โดยมีเวลา 1ชั่วโมง เพราะว่าบ่ายจะต้องกลับไปทำงาน โดยค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 10บาทต่อคนสำหรับคนไทยส่วนคนต่างชาติน่าจะแพงกว่านี้

 

เรียกว่าโครตจะคุ้มสำหรับเงิน 10บาท ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรว่ามันคุ้มขนาดไหน 10บาทสมัยนี้ซื้ออะไรยังไม่ค่อยจะได้เลย แต่ว่าสามารถเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์ได้


บางคนอาจจะบอกว่าเข้าไปดูอะไร มีแต่เศษหินเก่าๆ แต่ก็อยากจะบอกว่าสิ่งที่มหัศจรรย์ ก็คือ เมื่อตอนที่เขาสร้างปราสาทหิน ก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี่ร้อยปีก่อนนะครับ เขาขนหินกันมายังไง เพราะแถวๆ พิมาย ก็ไม่น่าจะมีหินแบบใหญ่ๆ แบบนี้ และเข้ายกขึ้นไปตั้งกันยังไง เพราะไม่มีเครน และต่อให้มันติดกันยังไง 


น่าสงสัยมาก แถมยังมีการแกะสลัก ให้เป็นหน้าคน สัตว์ ต่างๆ ด้วย ซึ่งเหมือนจะเป็นการแกะสลัก ในแต่ละก้อน แล้วนำมาประกอบกันให้เป็นรูปเป็นร่างรวมกันได้ เรียกว่าเป็นวิศวโยธาชั้นสูงในสมัยเมื่อหลายร้อยปีเลยทีเดียว ผมยอมรับว่าถ้าทำในสมัยนี้มันจะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะมีเครื่องทุ่นแรงมาก แต่ถ้าสร้างเมื่อหลายร้อยปีก่อน... ก็น่าทึ่งมากครับ


นั่นคิอเงิน 10บาทที่เราเสียไป ทำให้ผมรู้สึกว่าคุ้มต่ามากๆ ได้เห็นสิ่งก่ออสร้างเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว โดยที่ที่พิมายเองก็ไม่รู้ว่าจะไปเอาหินแบบนี้มาจากที่ไหน (หรือว่ามีแหล่งหินอยู่ อันนี้ก็ไม่แน่ใจ) เวลานำหินแต่ละก้อนมาต่อกันแล้ว ทำยังไงให้น้ำมันไม่รั่วลงมาข้างล่างเวลาฝนตก แล้วใครเป็นคนแกะสลัก ถ้าหากว่ามันสมบูรณ์มากๆ คือไม่มีอะไรเสียหายเลย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง คนสมัยก่อนเข้าอยู่กันแบบไหน นอนแบบไหน น่าคิด และน่าสงสัยมากๆ


แต่ว่าเท่าที่เคยไปเที่ยวๆ มา รูปแบบของปราสาทจะคล้ายๆ กันหมด เพราะว่าเคยไปที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง และปราสาทเขาพระวิหาร และอีกหลายที่ ก็จะคล้ายๆ กัน มีรอบนอก และมีรอบใน ช่วงที่ไปมีการค้ำยันจำนวนมาก ซึ่งคราดว่ามันคงจะอันตรายมากถ้าหากว่าปราศจากการค้ำยัน เพราะว่ามันอาจจะพังลงมาได้ทุกเมื่อ เมื่อ 20ปีที่แล้วได้มาครั้งหนึ่งแต่ไม่มีการค้ำยันใดๆ กาลเวลาผ่านไปทุกอย่างก็เริ่มจะผุพังไปตามกาลเวลา 


หรือว่าจะเป็นแค่การซ่อมแซม เพื่อให้ปราสาทสามารถอยู่ต่อไปเรื่อยๆ จนรุ่นลูก รุ่นหลาน พอซ่อมเสร็จ ก็เอาค้ำยันออกหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ก็อยากจะให้เอาออกเหมือนกัน เวลาถ่ายรูปจะได้สวยๆ ไม่มีเหล็ก นั่งร้านที่ใช้ค้ำยันมาปรากฎให้เห็นในรูป

By: KCAN

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

วัดหลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่

วัดแรกแห่งปี 2564 ที่คุณได้เข้าไปคือวัดอะไร ? ส่วนของผมก็คือวัดบ้านไร่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดหลวงพ่อคูณ 

พิกัด GPS @15.3001726,101.7357051

เมื่อวันที่ 5 ม.ค 2564 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำธุระที่อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา หลังเสร็จจากธุระแล้วก็จะต้องหาที่พักค้างคืนเพราะว่าเวลานั้นก็ประมาณ 4โมงเย็น ถ้าจะขับรถกลับมากรุงเทพฯ 

เลยก็คงจะต้องถึงดึกๆ แน่นอนอย่างน้อยๆ ก็ ทุ่ม สองทุ่ม กลัวขับไม่ไหวเพราะไม่ถนัดขับเวลากลางคืน สายตาไม่ค่อยจะดี จึงตัดสินใจพักค้างคืนดีกว่า เลยเปิดแผนที่เพื่อหาข้อมูลที่พักในอำเภอด่านขุนทดดู ปรากฎว่ามีวัดบ้านไร่ขึ้นมาในแผนที่ด้วย... เลยนึกได้ว่าน่าจะไปเที่ยวดู แต่ก็กลัวว่าวัดจะปิดก่อน 



เพราะใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว เลยลองสอบถามคนแถวๆ นั้นดูว่าวัดปิด เปิดกี่โมง คนแถวนั้นก็บอกว่าไม่น่าจะปิดนะ เคยไปตอนหกโมงเย็นก็ยังเปิดอยู่เลย จึงได้ขับรถไปเที่ยวดู เพราะว่าที่พักที่หาเอาไว้ก็ห่างจากวัดแค่ 4กม. เอง ไปถึงวัดก็ประมาณ 5โมงเย็น ซึ่งไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวเหลือเลย 


แต่คนที่ดูแลสถานที่ก็บอกว่าเข้ามาเยี่ยมชมได้ เลยเข้าไปเยี่ยมชม โดนส่วนแรกก็เข้าที่พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของวัดเลย เป็นอาคาร 2ชั้น ติดแอร์ เย็นสบายจนรู้สึกหนาวเลยเพราะคนน้อย ภายในก็จะมีประวัติต่างๆ ของหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อยังหนุ่มๆ เลย

จากนั้นก็ต้องไปที่ #วิหารเทพวิทยาคม ที่อยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานพญานาคคู่เพื่อเดินเข้าไปในอาคาร โดยอาคารแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อคูณ โดยอาคารสร้างเป็นรูปช้างสวยงามวิจิตรมาก เป็นงานศิลปะทางพุทธศาสนาที่หาดูได้ยาก โดยภายในอาคารแบ่งออกเป็น 4ชั้น และมีชั้นใต้บาดาลอีก 1ชั้น 


เจ้าหน้าที่บอกว่า อาคารเปิดทั้งกลางวัน และกลางคืนเลย สามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอดเวลา โดยภายในอาคารจะมีรูปปริศนา ธรรมต่างๆ แสดงเอาไว้มากมาย รวมถึงรูปประวัติหลวงพ่อคูณด้วย


สิ่งที่หลวงพ่อได้สัญญาเอาไว้กับชาวบ้าน และหลวงพ่อก็สามารถทำได้ตามคำสัญญานั้น


ชั้นบนสุดของวิหารเทพวิทยาคม



ในความรู้สึกส่วนตัว คิดว่าคนไทยทุกคนควรที่มาที่นี่สักครั้งในชีวิต ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็สามารถมาได้ เพราะว่าเรามาดู มาเสพงานศิลปะ

By: KCAN

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

วงเวียนหอนาฬิกาแห่งอำเภอบ้านไผ่

วงเวียนหอนาฬิกาแห่งอำเภอบ้านไผ่

วงเวียนหอนาฬิกา มีอยู่หลายต่อหลายแห่งเท่าที่เคยเห็นมาก็จะมีที่สุพรรณบุรี มหาสารคาม กรุงเทพฯ เชียงราย เชียงใหม่ นตรราชสีมา และอีกหลายๆ ที่ทั่วประเทศ 

วัตถุประสงค์ในการสร้างหอนาฬิกาเอาไว้ ก็คงจะเพื่อบอกเวลาให้กับประชาชน เพราะสมัยก่อนนาฬิกาอาจจะไม่แพร่หลายอย่างในปัจจุบันที่สามารถดูเวลาได้จากในมือถือ หรือนาฬิกาข้อมือ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อน หอนาฬิกาก็เลยดูจะมีความสำคัญน้อยลงไป จนแถบจะกลายเป็นแค่อนุสาวรีย์เท่านั้น...

พิกัด GPS @16.0585388,102.7287063

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสไปทำธุระที่โรงพยาบาลอำเภอบ้านไผ่ ซึ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยมาครั้งแรกเป็นช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งในครั้งนั้นก็ได้เห็นวงเวียนหอนาฬิกานี้แล้ว ก็รู้สึกว่าสวยแปลกตาดี แม้จะไม่ใหญ่โตอะไรแต่ก็สดุดตา และที่สำคัญคืออยู่ด้านหน้าของโรงพยาบาลบ้านไผ่ด้วย แต่ในครั้งนั้น ไม่ทันได้สังเกตุเรื่องของเวลา 

แต่ว่ามาในครั้งที่ 2 บังเอิญที่มีความจำเป็นที่จะต้องดูเวลาพอดี พอเห็นเวลาในด้านที่กำลังเดินมาแล้ว  ก็ให้ตกใจมาก เพราะว่ามันสายมาก และเกินกว่าเวลานัดเอาไว้แล้ว... จึงรีบเดินอย่างเร็วมาก เรียกว่ากึ่งวิ่งเลยก็ว่าได้ แต่พอมาถึงบริเวณป้ายหน้าโรงพยาบาลเท่านั้น... ก็ต้องหยุดแบบหอบๆ และดึงโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลา ว่าตกลงแล้วมันกี่โมงกันแน่ พร้อมๆ กับพักเหนื่อยด้วย... สรุปว่าเวลา ณ ขณะนั้นบนโทรศัพท์มือถือคือ 8:41 จากนั้นจึงได้ถ่ายรูปหอนาฬิกาแห่งอำเภอบ้านไผ่เอาไว้เตือนใจตัวเองว่า "เรื่องของเวลานั้นสำคัญเสมอ..." เวลาเป็นสิ่งๆ หนึ่งในไม่กี่สิ่งบนโลกที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สามารถขอซื้อเวลาคืนกลับมาได้ ดีที่เวลาจริง ณ ขณะนั้นไม่เกินกว่าที่นัดหมายเอาไว้ ไม่อย่างงั้นแย่แน่ๆ

ต้องขอบคุณวงเวียนหอนาฬิกาอำเภอบ้านไผ่ ที่ทำให้รู้ว่าเวลานั้นมีค่าขนาดไหน แต่ก็อยากขอฝากทีมบริหารอำเภอบ้านไผ่ ช่วยทำให้นาฬิกาแต่ละด้านของหอนาฬิกาเดินตรงกันด้วยนะครับ ผมเคยเห็นนาฬิกาในโรงพยาบาลศิริราชเขาใช้ระบบ IP ทำให้นาฬิกาแบบเข็มทุกๆ จุดในโรงพยาบาลเดินได้ตรงกันทั้งหมดทุกๆ วินาทีเลย และเดินตรงกันกับเวลาโลกด้วยเพราะว่าสามารถเชื่อมเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้ แต่ว่าราคาก็คงจะไม่ธรรมดา แต่ว่าในโรงพยาบาลมีนาฬิกามากกว่า 20-30เรือน แต่ที่หอนาฬิกา มีแค่ 4เรือนเท่านั้น...

ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

By: K.C.A.N

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

360 Total Security

360 Total Security 

เป็นโปรแกรม Antivirus สำหรับ PC และ Android ที่มีประสิทธิภาพดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว อันนี้พูดจากประสบการณ์จริงที่ได้ใช้งานจริงตลอด 4ปีที่ผ่านมาตั้งแค่ใช้ Widows 7 โดย 360 Total Security จะให้ใช้งานได้ฟรี เกี่ยวกับการ ป้องกันไวรัส สำหรับ PC สามารถอัปเดทฐานข้อมูลไวรัสได้ฟรีด้วย แต่ว่าจะมีบาง Feature ที่จะต้องเสียเงินซื้อ โดยในช่วงปีแรกได้ทดลองใช้งานฟรี คนรู้สึกว่าดีมาก ไม่เหมือนกับ Antivirus ตัวอื่นที่พยายามที่จะขึ้นข้อความให้เราซื้อ หรือมีโฆษณาเข้ามาจนน่ารำคาญ อีกทั้งการใช้งานก็ง่าย แค่กดปุ่มเดียวก็ทำงานเองหมด และยังมีฟังค์ชั่นอื่นๆ ให้เล่นได้ด้วย มีรวมทั้งพวกโปรแกรม Cleaning,  Register cleaning ต่างๆ ด้วย ซึ่งพอปีที่ 2 ก็เลยยอมเสียเงินซื้อ ก็ราคาไม่แพงมาก หนึ่งพันกว่าบาทต่อ 3ปี และลงได้ 3เครื่อง คงจะไม่มี Antivirus อันไหนถูกไปกว่านี้แล้ว เหมาะกับ SME บริษัทเล็กๆ มีเครื่องคอมฯ 3เครื่อง แต่ของผมก็ไม่ได้มีธุรกิจอะไร แต่ว่าใช้ร่วมกับลูกสาว 2คน พอจ่ายเงินเสร็จ Feature ที่ไม่สามารถใช้ได้ ก็ใช้ได้ ซึ่งเยี่ยมมาก ทั้ง Ad block, Driver Update, และอื่นๆ อีกมากมาย 



ทดลองโหลดใช้งาน ==> **360 Total Security**

ก็อยากแนะนำให้ทดลองใช้กันดูครับ สามารถลองโหลดได้จากลิงค์ข้างบน รับรองความปลอดภัย 100% ไม่ใช่ลิงค์การพนัน หรือไวรัสแน่นอน


By : KCAN

แก้งสนามนาง

แก้งสนามนาง นามนี้มีความหมายว่าอะไร ?

มุมๆ หนึ่ง แก้งสนามนาง 2564

ค่ำคืนนี้ที่อำเภอเล็กๆ อำเภอหนึ่งทางตอนเหนือสุดของจังหวัดนครราชสีมา โดยมีเขตติดต่อกับอำเภอเมือง และ อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ และอำเภอแวงน้อยจังหวัดขอนแก่น ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาค้างคืนที่อำเภอนี้ในค่ำคืนที่อุณหภูมิอยู่ที่ 16องศาเซลเซียส และมาเป็นครั้งแรกของชีวิต เลยอยากรู้มากเลยว่า คำว่าแก้งสนามนางนั้นมีความหมายว่าอะไร มีความเป็นมาอย่างไร ? แต่ที่แน่ๆ มีการปลูกอ้อยกันเยอะมาก เรียกว่ารอบๆ ที่บ้านพักมีแต่ไร่อ้อยทั่งนั้น และฝั่งตรงข้ามก็จะมีโรงงานน้ำตาลใหญ่ๆ อยู่ 1โรงด้วย ทำงานกัน 24ชั่วโมง ขนาด 3-4ทุ่มยังมีเสียเรียกหมายเลขรถบรรทุกอ้อยกันอยู่เลย

จึงได้เข้าไปดูข้อมูลต่างๆ ของอำเภอดูจากในวิกิพีเดีย จึงได้รู้ที่มาที่ไปของความหมายของชื่อนั่นคือ  “บ้านแก้งสนามนาง” หมู่บ้านหรือชุมชนแห่งนี้เรียกขนานนามตามชื่อของแก่งหินเหมือนชุมชนอื่น ๆ แต่ด้วยเหตุที่เป็นแก่งหินขนาดใหญ่กลางลำน้ำชีที่ยามหน้าแล้งน้ำลด สาว ๆ หนุ่ม ๆ มักพากันลงเล่นน้ำที่แก่งนี้เป็นที่สนุกสนาน จึงเรียกชื่อชุมชนนี้ว่า “แก้งสนามนาง” (ขอบคุณ วิกิพีเดีย) นอกจากนี้ยังเห็นจากคำขวัญของอำเภอนี้แล้ว ก็ให้รู้ได้ว่าเป็นที่ที่ปลูกอ้อยเยอะมากจริงๆ 

คำขวัญแก้งสนามนาง: ปลาอร่อย อ้อยหวาน น้ำตาลดี ลำชีสวย รวยน้ำใจ

แต่ก็แปลกมากมาย เพราะว่าพอเข้าไปค้นหาสถานที่ท่องเทียวของอำเภอแล้ว กลับไม่พบข้อมูลใดๆ เลย แปลกดี เข้าไปดูมีแต่ห่างไป 30กม. อยู่ไปทางชัยภูมิแทบทั้งนั้น คนแก้งสนามนางถ้าหากว่ามีที่เที่ยวที่แนะนำยังไงแจ้งได้นะครับ

อย่างน้อยๆ แก่งหินที่สาวๆ หนุ่มๆ ชอบไปเล่นน้ำกัน กลางลำชี ก็น่าจะเป็นที่เที่ยวได้อยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน และมีชื่อเรียกว่าอะไร คำขวัญว่า  "ปลาอร่อย" ต้องไปกินที่ไหนหรือครับ และ "ลำชีสวย" สวยยังไงอ่ะ? อยากขอเห็นด้วยอ่ะครับ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า (แอบแซวนะครับ...)

ยังไงก็ขอฝากทีมงาน ผู้บริหารอำเภอแก้งสนามนางเอาไว้ครับ เฝื่อว่าจะเป็นอีก หนึ่งช่องทางในการเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านได้ นอกจากอ้อย และน้ำตาล

ว้าว... เบียร์หมดซะแล้ว...! และก็ดึกแล้วด้วย ก็คงจะต้องไปนอนกันแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานต่ออีก 

ราตรีสวัสดิ์ 


By: KCAN