วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564

กลางดิน กลางทราย และสายน้ำ

เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คณภรรยาได้จองลานกางเต้นท์เอาไว้แถวๆ แก่งคอย สระบุรี ใกล้ๆ กับน้ำตกเจ็ดคตโป่งก้อนเส้า แต่คิดว่าน่าจะอยู่อีกฝั่งของภูเขา โดยวันเสาร์ที่ 4/12 ช่วงเที่ยงๆ ได้ออกเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครนายก  พอมาถึงแยกบางอ้อก็เลั้ยวซ้ายมุ่งตรงไปยังแยกบ้านนา พอถึงแยกบ้านนา ก็ขับตรงขึ้นไปเลย เป็นทางหลวงหมายเลข 2003 จากนั้นก็วิ่งตามทางไปเรื่อยๆ เลยครับ ประมาณเกือบ 1ชั่วโมงก็จะถึงสวนลุงสนอง 

ไม่อยากเชื่อเลยว่าถนนเส้น 2003 เรียกว่าเป็นเสันทางสายแคมป์ปิ้ง และรีสอร์จเลยก็ว่าได้ ทั้งสองข้างทางของถนน มีแต่รีสอร์จ และสถานที่กางเต้นท์ เยอะมากจริงๆ ผมเองก็พึ่งเคยมาเป็นครั้งแรก เห็นภรรยาบอกว่า ที่ดังๆ ก็จะมี I am camping ซึ่งก็ติดๆ กับสวนลุงสนอง เป็นคลองสายเดียวกันยาวจากสระบุรีมานครนายก  โดยคุณภรรยา จองเอาไว้ที่สวนลุงสนอง ซึ่งก็อยู่ประมาณปลายๆ ของเส้นทาง แต่ดีที่ว่าคนไม่เยอะมาก 

เหมือนอย่าง I am camping ที่มีคนมากางเต้นท์เยอะมาก คืนนั้นของลุงสนองมีมานอนกางเต้นท์แค่ 3เจ้าเอง เพราะลุงสนองพึงจะทำได้ไม่ถึง 3เดือน ดีมากเพราะทำให้ไม่มีคนแย่งห้องน้ำ ห้องท่า เราไปถึงที่สวนลุงสนองก็งงๆ นิดหน่อย เพราะว่าสวนของลุงแกจะต้องข้ามฝายน้ำล้น ไปอีกฝั่งของคลอง หาทางเข้าไม่เจอ คือว่าเจอทางเข้า แต่ไม่แน่ใจว่าสามารถเอารถข้ามไปได้หรือเปล่า เพราะฝายน้ำค่อนข้างแรง แต่ว่าไม่ลึกประมาณตาตุ่ม เลยต้องถอยหน้าถอยหลัง หาที่จอดเพื่อถามทางอยู่พักใหญ่ และถนนเองก็ค่อนข้างแคบด้วย

พอได้ที่เหมาะๆ จอดรถเรียบร้อยแล้ว หลานของลุงก็ออกมาต้อนรับ และก็จะต้องจ่ายเงินค่ากางเต้นท์กัน โดยลุงแกคิดค่ากางเต้นท์ หัวละ 150บาทเอง วันนั้นไป 3คนก็ 450บาท และก็สั่งหมูกะทะมา 1ชุด ราคา 360บาท พอจะจ่ายเงินเท่านั้นแหละ ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต งานเข้าทันที เพราะว่าไม่มีเงินสดมากันเลยคิดว่าสามารถโอนได้ เพราะภรรยาสอบถามก่อนมาแล้ว เขาก็บอกว่าโอนได้ แต่ต้องให้หลานสาวพาเดินไปไกลกว่า 100เมตร เพื่อหาสัญญาณอินเตอร์เน็ต หลานบอกว่าเพราะกฎหมายห้ามเอาไว้ ไม่ให้มีไฟฟ้าเพราะเป็นเขตติดอุทยานแห่งชาติ ทุกอย่างเลยจะใช้พลังงานแสงอาทิตน์ทั้งหมด 

มีบ้านญาติที่อยู่ติดกันจะมีสัญญาณ WiFi เลยสอบถามว่า WiFi ก็ใชัพลังงานแสดงอาทิตย์หรือเปล่า หลานก็บอกว่าใช่ หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย ก็เริ่มกางเต้นท์กัน โดยผมกับลูกสาวช่วยกัน ส่วนคุณภรรยา ก็ไปจัดการกับการตั้งโต๊ะอาหาร

ซักพักหนึ่งหลังจากที่คุณภรรยาถ่ายรูป เล่นน้ำ กันเสร็จ หมูกะทะก็มาส่งพอดี ช่วงๆ นั้นก็ 5โมงเย็น ก็เริ่มก่อเตา และก็เริ่มกินอาหารกัน ก็กินแบบเรื่อยๆ ไปจนประมาณ 1ทุ่มเศษ อากาศเริ่มจะเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าน่าจะต่ำกว่า 24องศา จากนั้นอยู่ๆ ป้าที่เป็นภรรยาลุงสนองก็ออกมาคุยด้วย เหมือนกับป้าแกกลัวว่าจะอยู่ไม่สบาย เลยเดินมาสอบถามดู ก็ได้นังคุยกันพักใหญ่ๆ 


โดยส่วนมากก็สอบถามเรื่องไม่มีไฟฟ้า ซึ่งป้าแกก็บอกว่า แกอยู่แบบนี้มาแทบจะตั้งแต่เกิดแล้ว แกชินแล้ว อยู่แบบมีไฟฟ้า ก็เคยอยู่ บ้านลูกๆ อยู่ในตัวอำเภอบ้านนา ก็มีไฟฟ้า แต่ว่ามันไม่ค่อยจะชิน สอบถามเรื่องการถนอมอาหารจะทำยังไง เพราะไม่มีตู้เย็น ป้าก็บอกว่า ก็เอามาทาเกลือแล้วก็ตากแดดให้มันแห้ง หรือเอาไปรวน ก่อนจะเก็บ แต่ก็เก็บได้ แต่อาจไม่นานแบบหลายๆ วันเหมือนตู้เย็น แต่ที่บ้านแกมีถังน้ำแข็งลูกซื้อมาให้ ก็เก็บได้หลายวันอยู่ สอบถามเรื่องทีวี ไฟส่องสว่าง ป้าแกก็บอกว่ามีทีวีแต่ดูได้ไม่นานมาก ประมาณ 2-3ชม. เพราะว่าใช้แบตฯ จากแสงแดด แต่ส่วนใหย่ไม่ค่อยดูเท่าไหร่ ส่วนไฟส่องสว่างก็ใช้แบตฯ และพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด ส่วนใหญ่ 3ทุ่มก็นอนกันแล้ว เปิดแค่วันละ 2-3ชม. เท่านั้น  

จากนั้นป้าแกก็ขอตัวไปดูเต้นท์อื่นๆ อีก เลยได้ขอถ่ายรูปกับป้าแกเอาไว้หน่อย ดูแกเอาใจใส่ลูกค้าแกดี แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยยังมีพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าอยู่อีก แต่การไมมีไฟฟ้าก็ดี เพราะทำให้เห็นดาวได้ชัดมาก อยากให้ป้าแกปิดไฟทางให้มืดๆ ด้วยซ้ำ 555

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ ยิ่งกางเต้นท์อยู่ริมน้ำด้วย คิดว่าอุณหภูมิตอน 4ทุ่มคืนนั้นน่าจะใกล้ๆ 20องศาเลยทีเดียว ยิ่งมีลมกระโชกเป็นพักๆ เย็นมาก ขนาดเข้าไปในเต้นท์ ยังไม่รู้สึกอุ่น  ต้องหาผ้าห่มมาห่มกันเลย แต่ก็ทำให้เรานอนหลับสบายดี ฟังเสียงน้ำไหล และเสียงลม มีความสุขดี



ตอนเช้าก็ตื่นขึ้นล้างหน้า ล้างตาแปรงฟัน รับอากาศเย็นๆ โดยเดินไปบริเวณที่มีสัญญาณ WiFi ปรากฎว่าอุณหภูมิอยู่ที่ 20 องศาตอน 6โมงเช้า จากนั้นก็ก่อเตาต้มน้ำชงกาแฟ เข้าห้องน้ำ ห้องท่า และก็ทำอาหารเช้ากัน จากนั้นก็หาสถานที่เหมาะๆ นั่งกินข้าวกัน ก่อนที่จะทยอยล้างถ้วยล้างจาน เก็บเต้นท์ ก่อนเดินทางไปเที่ยวกันต่อ แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังใหม่ในบล๊อกหน้า สำหรับบล๊อกนี้ก็ขอฝากลานกางเต้นท์สวนลุงสนองเอาไว้ ยังไงก็ฝากเยี่ยมป้าแกด้วย แกดูแลลูกค้าดีมากเลย หรือไม่ก็แกอาจจะเหงา อยากมีเพื่อนคุยเยอะๆ ก็ไปแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการอยู่แบบไม่มีไฟฟ้ากับแกได้ 


By: KCAN 
พิกัด GPS สวนลุงสนอง @14.4053668,101.1635436

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ติดตั้งบลูธูทให้เครื่องเสียงรุ่นเก่า

งานนี้เกิดขึ้นเมื่อลูกสาวอยากสอบถามเรื่องเครื่องเสียงที่บ้านมันเก่า อยากจะให้ซื้อใหม่... แม้จะเสียงดี และยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม สาเหตุก็เพียงเพราะว่ามันไม่มีบลูธูท ทำให้เวลาจะฟังเพลง จะต้องเอาโทรศัพท์ ไปเสียบคาเครื่องเสียงเอาไว้ ทำให้ไม่สะดวก และไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ 

ฟังแล้วก็มีเหตุผลดี แต่ว่าจะซื้อเครื่องใหม่เลย อย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 1,000กว่าบาท ถ้าราคาถูกๆ ก็ไม่รู้จะเสียงดีหรือเปล่า ก็บอกกับลูกว่าก็ใช้ไปก่อนเดี๋ยวค่อยซื้อวันหลัง ขอเก็บตังค์ก่อน ลูกสาวก็ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยจะ... ตามสไตล์เด็กวัยรุ่น 


แล้วลูกสาวก็บอกว่า "ไม่อย่างงั้นก็ซื้อบลูธูทมาติดให้ซิ ป๊าจบตั้งวิศวะอิเลคทรอนิคส์..." งานเข้าเลยถูกลูกสาวพูดแบบนี้ ก็จริงอย่างที่เขาพูดแหละครับ เลยบอกว่า "ได้ไม่มีปัญหา เดี๋ยวทำให้ มันไม่ยากหรอก" จากนั้นก็เริ่มหาบลูธูทในเว็บขายของต่างๆ ดู ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ราคามันถูกมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้จริงหรือเปล่า นะ ก็เลยลองสั่งมาดู 2แผ่น เฝื่อว่า แผ่นแรกจะใช้งานไม่ได้จะได้มีแผ่นสำรองเอาไว้  เป็นบลูธูท 5.0เสียด้วย

จากนั้นอีก 2 วันก็ได้รับของมาเรียบร้อย ก็เลยบอกลูกสาวว่า เดี๋ยวเสาร์นี้จะทำให้ ไม่ยากหรอก ลูกสาวก็ทำหน้าแบบไม่ค่อยจะเชื่อเราเท่าไหร่ 555 ยังไม่พอใจที่พอไม่ยอมซื้อเครื่องใหม่ให้ หรือว่าไม่เชื่อว่าพ่อจะทำได้หรือเปล่า 


พอถึงวันเสาร์ เราก็เตรียมอุปกรณ์กันเลย สิ่งที่ต้้องมีก็คือ ภาคจ่ายไฟ สำหรับเจ้าวงจรบลูธูทที่สั่งมาก็คือใช้ไฟเลี้ยง 5Vdc ซึ่งเราก็จะต้องมีตัวแปลงไฟจาก 26Vdc จากภาคจ่ายไฟของตัวเครื่องขยายเสียง ให้เหลือ 5V โดยผมได้ใช้ตัวต้านทาน 1ตัว ค่า 150โอมห์ และ IC เร็กกรูเลเตอร์เบอร์ 7805 แบบง่ายๆ 

จากนั้นก็ต้องแกะเครื่องขยายเสียงออกมาดูเพื่อหาตำแหน่งที่จะวางแผ่นบลูธูท และตัวจ่ายไฟ ซึ่งก็โชคดีที่เครื่องเสียงรุ่นนี้ ภาคจ่ายไฟ ก็จุดรับสัญญาณเสียงเข้าเครื่อง ไม่ห่างกันมาก เลยไม่ต้องเดินสายไฟให้ยุ่งยากมาก เพราะถ้าหากว่าต้องเดินสายไฟ โอกาสที่จะเกิดสัญญาณรบกวนก็จะสูง อาจทำให้มีเสียงอัมออกที่ลำโพงได้ 

เมื่อได้ตำแหน่งที่ดีแล้ว ก็เริ่มบัดกรีติดตั้งกันเลย โดยเริ่มจากการต่อสายไฟออกจากแผ่นวงจรบลูธูทกันก่อน ก็จะมีแค่ไฟเข้า 2เส้น และสัญญาณออกจากบลูธูทไปเข้าที่ช่องรับสัญญาณของเครื่องเสียง อีก 2เส้น คือสัญญาณซ้าย - ขวา ก็มีเพียงเท่านี้จริงๆ จากนั้นก็ติดตั้งแผ่นบลูธูท เข้ากับ จุดรับสัญญาณเข้าของเครื่องเสียงเลย โดบใช้ขาอุปกรณ์ในการเชื่อม และเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน ก็ควรจะให้มันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเป็นสัญญาณเข้าเครื่องขยายเสียง ถ้ามีสัญญาณรบกวนเข้าไป เครื่องขยายเราก็จะขยายเจ้าสัญญาณรบกวนนั้นออกไปที่ลำโพงด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากว่าจำเป็นที่จะต้องเดินสายไฟแล้วล่ะก็ ควรที่จะเป็นสายชีลด์แบบ 2 คอร์ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน

จากนั้นก็มาต่อภาคจ่ายไฟให้กับบอร์ดบลูธูทของเรา ก็ต่อตามรูปเลยครับ ดูเรื่องขา IC 7805 ได้ตาม LINK นี้เลย IC มี 3ขา คือ ขา IN, ขา GND และขา OUT รับรองไม่ยาก เอา R 150 โอมห์มาดร๊อปไฟก่อนเข้า IC ซัก 1ตัว ซึ่งก็ต่อเข้ากับขา IN ของตัว IC และก็ต่อไฟจากขา OUT ไปเข้าบอร์ดบลูธูทได้เลย รับรองว่าถ้า iC ไม่เสีย ไฟที่ขาออกจะได้เท่ากับ 5V อย่างแน่นอน ส่วนขา GND ก็คือขากราวด์นั่นเอง ผมก็หาจุดที่เป็นกราวด์ของเครื่องเสียง และก็บัดกรี เข้าไปเลย เพียงเท่านี้บลูธูทเราก็พร้อมใช้งาน 

จากนั้นก็ประกอบเครื่องกลับอย่างเดิม แล้วก็ถึงเวลาทดสอบ ก็เรียกลูกสาวมาทดสอบดูว่าโอเคหรือเปล่า  ลูกสาวถึงกับงงเริ่มยิ้มออก และก็ยกกลับห้องไปแต่ความจริงเขาก็อยากได้ของใหม่มากกว่าแหละ แต่ว่าคุณพ่ออุตส่าห์ทำให้ขนาดนี้ ก็คงต้องทนฟังกันต่อไปนะ 

ยุคนี่เศรษฐกิจมันแย่มากๆ รอเอาไว้เลือกตั้งและเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล  ขอคนใหม่แทนคนปัจจุบันเถิด คุณสมบัติอย่างน้อยที่สุดคือ จะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับคนต่างประเทศได้ดีมาก เพื่อที่จะให้ประเทศเราสามารถค้าขายกับต่างประเทศได้โดยไม่ต้องใช้ล่าม ขอรบกวนคนไทยทุกคนช่วยเลือกคนที่ดีจริงๆ เข้ามาบริหารประเทศแทนคนปัจจุบันด้วยเถิด อย่าเลือกคนปัจจุบันกลับมาอีกเลย... กราบขอบพระคุณคนไทยทุกๆ คนที่รักชาติ รักประเทศ

By: K.C.A.N

วันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ครบรอบแต่งาน 23ปี

การฉลองครบรอบแต่งานครบ 23ปียังไม่สิ่นสุด จากบล๊อกที่แล้ว ที่บอกว่าคุณภรรยาได้จองที่กางเต้นท์เอาไว้ที่เขายายเที่ยง และแล้ววันเสาร์ที่ 9 เราก็ออกไปใช้สิทธิตามที่ได้จองเอาไว้

โดยงานนี้ไปกันแค่ 2คน เพราะว่าลูกๆ ติดเรื่องงานของมหาวิทยาลัย ส่วนแม่ผมก็คงจะไม่สะดวกเพราะว่าเป็นการนอนเต้นท์ ออกจากบ้านกัน 2 ตายายก็ประมาณ 10โมงเศษๆ ขับรถแบบชิวๆ ไปถึงจุดพักรถลำตะคองก็เที่ยงนิดๆ เพราะว่าภรรยาผมบอกว่าน้องที่ทำงานเก่าที่เป็นสายนอนเต้นท์ จะมาสบทบด้วย 



ได้สอบถามกับภรรยาว่าจุกางเต้นท์คือที่ไหน ภรรยาบอกว่าไร่ SSB Park เป็นที่เอกชนบนเขายายเที่ยง ดูใน เว็บมา เสียเงินคนละ 250บาทเอง และถามต่อว่าคนที่ให้รอคือใคร ภรรยาก็บอกว่า ซินดี้ ไงจำได้หรือเปล่า ที่เคยไปนอนเต้นท์ด้วยกันที่วังน้ำเขียว 2ครั้งละมั้ง ก็บอกว่าจำได้ ตั้งแต่ลูกยัง  5-6ขวบเลยล่ะมั้ง จากนั้นก็

รอประมาณ 5นาที ซินดี้ก็มาถึง ตอนแรกคิดว่าจะพาเพื่อนมาด้วยแต่ก็ไม่มี มาคนเคียวเก่งมากเลยขับรถมาจากนครสวรรค์-ลพบุรี จากนั้นก็มุ่งหน้าขึ้นไปยัง SSB Park ที่เป็นจุดหมายปลายทางกัน แต่ภรรยาผมบอกว่าเขาไม่ให้ปักหมุดตรงไปที่ SSB Park เลย เพราะว่าแผนที่ Google จะพาวิ่งไปทางที่เป็นทาง Off Rode

ซึ่งจะอันตรายมาก เขาให้ปักหมุดเป็นช่วงๆ โดยตอนแรกให้ปักหมุดไปที่ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคองก่อน จากนั้นให้ปักหมุดตอไปที่ วัดเขายายเที่ยงใต้ แล้วถึงจะปักต่อไปที่ SSB Park ถึงจะเป็นทางปกติ ที่เขาวิ่งกัน ไม่น่าเชือว่าจาก จุดพักรถลำตะคอง 12:30 ขึ้นไปจนถึงที่ SSB Park เกือบบ่ายสองโมง... ทางขึ้นเขาตลอด เป็นถนนปูนเลยศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ไปได้ไม่ไกล ก็เปลี่ยนเป็นถรรดินแดง สลับกับถนนปูเป็นช่วงๆ ถ้าเป็นช่วงหมู่บ้านก็จะเป็นปูน ถ้าผ่านหมู่บ้านไปแล้วก็เปลี่ยนเป็นดินแดง และก็มีชันบ้างเป็นบางจุด บอกตรงๆ เลยว่าโชคดีมากที่ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นรับรองว่าขึ้นไม่ได้แน่นอน



แต่ว่าพอถึงที่ SSB Park เท่านั้น วิวแรกที่เห็นก็ทำให้หายเหนื่อยกันเลยทีเดียว ตามรูปแรกเลยครับ เป็นหน้าผาเห็นวิวด้านล่างเป็นอ่างเก็บน้ำลำตะคองสีเงินแดดส่องผ่าเมฆลงมาเป็นสาย สวยงามมาก แต่ว่านี่เรามาช้าไปหรือเปล่า เพราะว่าจุดใกล้หน้าผาถูกจองจนเกือบจะเต็มแล้ว เรียกว่า เราเป็นรถ 2 คันสุดท้ายที่ได้จุดจอดริมผา 

แต่ไปไกลสุด ห่างจากห้องน้ำประมาณ 300-400เมตรเลย แต่ก็ไม่มีปัญหา รีบจอดรีบปักเต้นท์ จะได้ทำกับข้าวกินกัน  เพราะหิวมากยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันเลย หลังจากกวงเต้นท์ เสร็จเรียบร้อย ภรรยาผมกับรุ่นน้องก็เขาก็นั่งทำกับข้าวกัน ส่วนผมก็ออกไปเดินสำรวจ และถ่ายรูปเล่น ก็พบว่า เทรนการนอนเต้นท์ เดี๋ยวนี้พัฒนากันไปมากจริงๆ บางคนมาเป็นรถตู้กันเลย ตัดหลังคาทำเป็นที่นอน มีห้องอาบน้ำส่วนตัว ใช้แผงโซล่าเซลล์มาผลิตไฟฟ้าเพื่อเปิดแอร์นอนตอนกลางคืน เต้นท์ที่ติดตั้งบนหลังคารถเลย ก็มีเยอะหลายแบบ น่าสนใจมาก

จากนั้นเมื่ออาหารเสร็จ เราก็นั่งกิน ดื่ม คุยเรื่องความหลัง และถามไถ่ ความเป็นอยู่ในปัจจุบันกัน จากนั้นท้องฟ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสี พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไป เสียดายที่เมฆเยอะมากไปหน่อยเลยไม่เห็นพระอาทิตย์ตกเป็นดวงแดงๆ กลมๆ แต่แค่นี้ก็เรียกว่าสวยมากแล้ว แสงสีแดงสะท้อนกับผิวน้ำในอางเก็บน้ำทำให้ทุกอย่างยิ่งแดงขึ้นไปอีก  

และเมื่อพระอาทิตย์ยิ่งหายไป ไฟส่องสว่างต่างๆ ก็จะยิ่งชัดมาขึ้นยิ่งทำให้ดูสวยมากขึ้น โดยเฉพาะดาวเคียงเดือน และวิวเมืองปากช่องยามราตรีที่อยู่ตรงหน้า บวกกับลมแรงๆ เย็นๆ พัดเข้ามาปะทะตัวเรา ตลอดเวลาทำให้รู้สึกถึงความหนาวได้เหมือนกัน อยากบอกว่าลมแรงจริงๆ มิน่าเขาถึงเลือกเป็นที่ตั้งของกังหันลม อุณหภูมิคาดว่าน่าจะประมาณ 24-26 องศา แต่ว่าลมแรงมาก เลยทำให้เรารู้สึกหนาว เหมือนกับเปิดแอร์ และเปิดพัดลมไปด้วย

และไม่นานพระอาทิตย์ ก็หายไป คงเหลือเอาไว้แต่ความมืด และน้ำค้าง... อยากบอกว่าน้ำค้างแรงมาก ประมาณ 3ทุ่มเศษๆ ผ้าเต้นท์ และทุกอย่างเปียกไปหมด ขนาดเป็นผ้าที่สามารถกันน้ำได้อย่างดี หยดน้ำค้างยังแทรกตัวลงมาได้ ซึ่งก็คงจะได้เวลาล้างถ้วย ล้างชาม อาบน้ำแล้วก็พักผ่อนกันแล้ว

เช้าวันต่อมา อยากบอกว่าบรรยายกาศดีมาก ลมก็ยังแรงต่อเนื่อง เห็นหมอกปกคุมอยู่เหนือยอดไม้เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน เลยต้องขอบันทึก VDO เอาไว้ซักหน่อย นี่ขนาดยังไม่หน้าหนาวยังสวยขนาดนี้ นี้ถ้ามาช่วงหน้าหนาว ก็คงจะสวยมากขึ้นไปอีก เบื้องหน้าอาจจะเป็นทะเลหมอกเหมือนอย่างทางภาคเหนือก็เป็นได้ จากนั้นกิจวัตรประจำวันก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการล้างหน้าปลงฟัน ก่อเตา ต้มน้ำชงกาแฟ และหุงหาอาหารเช้า รอให้พระอาทิตย์แผดเผาทุกอย่างให้แห้งก่อนที่จะทยอยเก็บ ซึ่งก็ปาเข้าไปใกล้ๆ เที่ยง จากนั้นก็เก็บทุกอย่างก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน ความจริงแล้วข้างบนเขามีจุดแวะเที่ยวอยู่หลายที่ แต่วันนั้นภรรยาเขามีธุระต่อตอนสี่โมงเย็น เลยจำเป็นต้องรีบกลับกัน น่าเสียดายอยู่ แต่ว่าไม่เป็นไร รู้จักกันแล้ว เดี๋ยวก็แวะมาได้เรื่อยๆ

 
อยากบอกว่าข้างบนมีรีสอจ์เอกชนเยอะมากมาย จริงๆ แต่อยากให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้ด้วย ไม่ใช่มีแต่สิ่งปลูกสร้างที่เป็นเหล็ก เป็นปูน เป็นหิน จนไม่เหลือดิน ไม่เหลือต้นไม้ เพราะว่ายังไงเขาก็จะเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ และการจะมีน้ำได้ก็จะต้องมีต้นไม้เยอะๆ เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศ และยังช่วยชลอน้ำฝนที่ตกลดมาสู่ดินด้วย  อย่าแค่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น ต้องมองไปถึงอนาคตรุ่นลูก รุ่นหลาน ว่าเขาจะยังมีโอกาสได้เห็นธรรมชาติแบบนี้อยู่

จบทริปครบรอบแต่งงาน 23ปี แบบ Happy Ending ครับ เอาไว้พบกันใหม่ทริปหน้า เพราะลมหนาวกำลังจะมาแล้ว . . .

By: KCAN



วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564

3 ตุลาคม 2564



เมื่อวันที่ 3ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบแต่งงานกับคุณภรรยามาแล้ว 23ปี ซึ่งสำหรับผู้หญิงแล้วคงจะมีความสำคัญระดับชาติเลยทีเดียว ซึ่งภรรยาผมเขาเตรียมการเอาไว้หลายอย่างมาก ตอนแรกวางแผนว่าจะไปกางเต้นท์นอนบนเขายายเที่ยง โดยได้จองที่กางเต้นท์เอาไว้แล้วด้วย แต่ว่าจะต้องขึ้นไปตอนหลังเลิกงานวันเสาร์...



ซึ่งผมก็บอกว่าอย่าดีกว่า เพราะว่าเลิกงานก็ 5โมงเย็น กว่าจะถึงทางขึ้นเขาตรงลำตะคอง ก็อีก 2ชั่วโมงกว่า ก็ทุ่มกว่า กว่าจะขึ้นเขาอีก 40นาที ทางก็ไม่ชิน และก็อยู่บนเขาด้วย เป็นอะไรไป หาคนช่วยก็คงจะลำบาก เอาไว้ไปเสาร์ที่หยุดดีกว่า ตอนแรกก็เหมือนจะนอยๆ อยู่ แต่ก็อยู่กันมา 23ปีแล้ว ก็รู้นิสัยใจคอกันดี วันอาทิตย์ ก็เลยชวนภรรยา ลูก และแม่ผม ออกไปหาอะไรกินกันข้างนอก แต่ว่าแม่ผมบอกว่าไปกันเลย แค่



ซื้อมาฝากก็พอ เพราะว่าแกเดินเหินไม่สะดวกแล้ว แกกลัวว่าจะเป็นภาระ พยายามชวนยังไงก็ไม่ยอมไปอย่างเดียว ขนาดให้หลานชวนว่าจะไปดูว่าน้ำเยอะขนาดไหน จะท่วมบ้านเราหรือเปล่า แต่แกก็ไม่ยอมไปอยูดี ก็เลยต้องตามใจแก เลยไปกัน 4คน ก็คนผม ภรรยา และลูก 2คน ตกลงกันว่าจะไปดูน้ำด้วย และไปหา


ของกินด้วย ก็ต้องหาร้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะมีแถวๆ สามโคก ปทุมธานี (ฝั่งหลังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ รังสิต) ซึ่งจะได้ไม่ต้องออกไปไกลมาก ก็ขับเล๊าะแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็พบกับร้านอาหารชื่อครัวท่าเรือ ซึ่งได้เล่าไปแล้วในบล๊อกที่แล้ว ว่าเจ้าของร้านชอบซุปเปอร์ฮีโร่มาก และนอกจากซุปเปอร์ฮีโร่แล้ว แกยังน่าจะชอบแนวงานศิลปะอย่างอื่นอีก เพราะร้านแกจะมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก รสชาติอาหารก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ถ้ามาเยือนปทุมธานี ร้านนี้สามารถแนะนำได้ ไม่อายใคร 


หลังจากที่อิ่มเข้าแล้วก็ต้องหาร้านกาแฟแบบชิวๆ นั่งเล่นกันต่อ ก็ได้ขับต่อขึ้นมาอีก ไม่น่าจะเกิน 2กิโลเมตร จากครัวท่าเรือ ลูกสาวก็บอกว่า เมื่อกี้มีร้านกาแฟน่ารักดี เหมือนบ้านคนปกติ แต่กั้นส่วนหนึ่นมาเปิดเป็นร้านกาแฟ โดยมีการจัดสวนเป็นสไตล์อังกฤษ ก็เลยกลับรถและแวะเข้าไปดู ซึ่งก็สวยดี สงบๆ มีมุมห้องปรับอากาศ และมุมสวนให้เลือกนั่งได้ แต่จำชื่อร้านไม่ได้ น่าจะชื่อ BBB cafe หรืออะไรนี่แหละ ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ แต่ก็ไม่น่าจะหลง เพราะทางบังคับ ไม่มีแยกใดๆ ให้เลี้ยวเลย เพียงแค่นี้ ก็ทำให้คุณภรรยาหายนอยได้แล้ว



จากนั้นก็เดินทางกลับบ้านโดยได้สั่งขนม และแวะซื้อของกินมาฝากแม่ผมที่บ้านตามที่ได้รับปากกับแกเอาไว้ ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวจะมีคนน้อยใจอีกคน


ตอนนี้รัฐบาลก็กำลังจะเปิดประเทศ อยากให้คนออกไปเที่ยวกัน แต่ก็นะ คนติดเชื้อโควิดก็ยังอยู่ที่หลักหมื่นคนต่อวัน จะว่าน่ากลัว ก็ยังน่ากลัวอยู่ แต่เอาเป็นว่าเราก็ออกไปช่วยกันบ้าง แต่ก็ต้องอย่าให้การ์ดตก เที่ยวไม่ต้องไปไกลมาก เอาแค่ใกล้ๆ ใช้เงินหาความสุขให้กับชีวิตบ้าง เพื่อจะได้กันช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปไหน มาปทุมธานีก็ได้นะครับ มีที่เที่ยวสวยๆ เยอะอยู่ หรือจะมาแนวกิน-ดื่มแบบครอบครัวผม ปทุมธานีก็ตอบโจทย์อยู่หลายที่


วันนี้ต้องขอตัวกลับล่ะครับ เอาไว้เจอกันบล๊อกต่อไป จะพาไปขึ้นเขายายเที่ยงกันครับ

By: KCAN

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

ตัวอำเภอเมืองปทุมธานี 2564

ตั้งแตย้ายมาเป็นสมาชิกของจังหวัดปทุมธานี นี่ก็ปาเข้าไป 20กว่าปีแล้ว ยังไม่เคยมาที่ตัวจังหวัดเลยซักครั้ง เคยแต่ผ่านไป ผ่านมา ไม่เคยเลี้ยวเข้ามา และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เลี้ยวเข้ามายังตัวจังหวัดปทุมธานี เพราะต้องมาติดต่องานราชกาล


และพอเลี้ยวผ่านตลาดเข้ามายังถนนเลียบริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะเห็นอาคารรูปแบบสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งเรียงรายกันไปเป็นแนว ทั้งจวนผู้ว่าฯ และสถานที่ราชกาลอื่นๆ ก็รู้สึกแปลกตาและประทับใจดี คิดในใจว่า ปทุมธานีีั่ก็สวยเหมือนกัน 


ที่ลานจอดรถก็จะพบกับประติมากรรมดอกบัวปทุมธานี ๑๐๐ ปี โดยศิลปินแห่งชาติ 13 ท่านได้ร่วมกันออกแบบ ซึ่งข้อความตามป้ายที่บันทึกไว้ก็คือ "ต้องการจะสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ของเมืองปทุมธานี เมืองแห่งดอกบัว เมืองแห่งสายน้ำ ความเจริญงอกงาม ความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของผู้คนและความงดงามของประเพณีวัฒนธรรม"


จากลานจอดรถ ก่อนอื่นก็ต้องหาอาหารใส่ท้องก่อน เพราะเวลาใกล้เที่ยงมากแล้ว จะเข้าไปติดต่องานเลยก็ดูแล้วไม่น่าจะทัน ก็เลยเดินย้อนมานิดหน่อยก็จะเป็นตลาด ซึ่งจะมีทั้งแบบตลาดโบราณ และประยุกต์ให้เลือกใช้บริการได้ตามอัธยาศัย ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ผลไม้ เยอะมาก


หลังจากจบมื้ออาหารแล้ว ก็เป็นช่วงเวลารอให้บ่ายโมง และก็ช่วงย่อยอาหารด้วย ก็ต้องเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อช่วยย่อยอาหาร และดูบรรยายกาศกันหน่อย ก็เห็นเมฆฝนตั้งเค้ากันแต่ไกลๆ และก็ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเด็กๆ ใจดีมาให้อาหารปลา อาหารนก กันที่ท่าเรือด้วย


ความจริงน้องๆ เขาคงจะให้อาหารปลาแหละ แต่นกก็ขอเข้ามามีส่วนร่วม แย่งปลากินด้วยหน่อย ไปๆ มาๆ น้องเขาก็เลยต้องโปรยให้นกทีนึง ให้ปลาทีนึง ก็แสดงให้เห็นความใจบุญ ใจดี ของคนปทุมธานีได้ในระดับนึง


ดูๆ ไปแล้วเมืองปทุมธานีก็สวยไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ เหมือนกันนะครับ ตอนแรกคิดว่าคงจะไม่มีอะไร แต่พอได้มาเห็นก็มีอะไรกับเขาอยู่เหมือนกัน ว่างๆ ก็ลองแวะมาเที่ยวดูได้ ร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็น่าจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการนั่งกินในร้านกันได้แล้ว วันนี้ขอตัวไปทำภารกิจต่อครับ พิกัด GPS @14.0212494,100.5345445

By: KCAN

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2564

ภูมโนรมย์ มุกดาหาร


ภูมโนรมย์ จังหวัดมุกดาหาร เป็นภูเขาในตัวอำเภอเมืองมุกดาหาร โดยด้านบนของภูเขาเป็นสถานที่ตั้งของวัดภูมโนรมย์ ที่มีพระองค์ใหญ่ สีขาวตั้งอยู่เห็นได้แต่ไกลๆ พอดีว่าได้ไปปฎิบัติหน้าที่ที่จังหวัดมุกดาการมา โดยไปที่โรงพยาบาลมุกดาหาร จากวิวบนชั้น 10 ของโรงพยาบาลมุกดาหาร เราจะเห็นภูมโนรมย์ และเห็นองค์พระได้ชัดเจน


จนต้องสอบถามกับเจ้ากน้าที่ว่าชื่อวัดอะไร รถขึ้นได้ไหม และชั้นหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ชื่อวัดภูมโนรมย์ สามารถขับรถขึ้นไปได้เลย ชันหรือเปล่า ก็มีนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ชันมากขนาดนั้น สามารถขับรถไปได้ไม่ไกลมาก ไม่เกิน 30นาที ข้างบนจะเป็นเหมือนสวนธารณะด้วย ช่วงเย็นๆ คนจะขึ้นไปออกกำลังกายกันเยอะอยู่


แต่ช่วงกลางวันก็จะค่อนข้างร้อนนิดนึง จึงได้สอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมว่า ไม่เกิน 30นาที คือไปจากโรงพยาบาลใช่หรือเปล่า เพราะดูเหมือนจะค่อนข้างไกล เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ใช่จากโรงพยาบาลไป เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าไม่ไกลเลย ลองไปเที่ยวดู ข้างบนสวยนะ...


ไหนๆ เจ้าของพื้นที่เชียร์ขนาดนี้แล้ว ในฐานะคนนอกพื้นที่จะพลาดได้อย่างไรจริงไหมครับ ก็เก็บเอาไว้เป็นเป้าหมายหนึ่งในใจ เดี๋ยวงานเสร็จจะต้องขึ้นไปดูซักหน่อย ซึ่งหลังจากภาระกิจเสร็จสมบูรณ์ในช่วงบ่ายสองโมง ก็มีเวลาเหลือซัก 1ชั้่วโมง เลยได้ขับรถขึ้นไปดู ซึ่งก็สวยอย่างที่เจ้าของพื้นที่บอกเอาไว้ มีถนนรถขึ้นได้ถึงบนวัดเลย วิวแม่น้ำโขงสวยมากจากมุมสูง เห็นองค์พระอยู่ไม่ไกล ก็เดินต่อจากที่จอดรถขึ้นไปอีกซัก 150เมตร ก็จะถึงทางขึ้นวัด


หลังจากที่ได้กราบองค์พระเรียบร้อยแล้ว ก็เดินดูวิวกันนิดหน่อย พอดีเห็นเศียรพญานาคกลังชูคออยู่ที่ด้านข้าง ก็ตกใจอยู่ เพราะว่าพญานาคนี้เคยเห็นตามเว็บท่องเที่ยวอยู่ แต่ก็ไม่รูปว่าอยู่ที่ไหน ไม่อยากจะเชื่อว่าจะอยู่ตรงหน้าเรา ซึ่งเจ้าของพื้นที่ก็ไม่เห็นบอกเลยว่ามีพญานาคอยู่ด้วย เลยต้องเดินไปดูใกล้ๆ ซักหน่อย


พอเดินเข้าไปถึง ก็ต้องตกใจเพราะว่าพญานาคตัวใหญ่มาก และสวยมากด้วย หันหน้าไปทางแม่น้ำโขงด้วย โชคดีจริงๆ ที่ได้มาเห็นท่านใกล้ๆ 


ศรัทธา ความเชื่อ ความหวัง ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ตามจินตนาการ ให้ออกมาเป็นความจริงได้เสมอ ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาแล้ว และสิ่งที่สร้างเอาไว้ ก็จะกลายเป็นตำนานที่อยู่คู่กับโลกมนุษย์ต่อไป เชกเช่นตำนานเรื่องพญานาค สัตว์ลี้ลับและศักดิ์สิทธิ์แห่งลำน้ำโขง 


วันนี้ดีใจและประทับใจมาก ที่ได้มาเยือนเมืองมุกดาหาร  ได้ขึ้นมาที่ภูมโนรมย์ ได้มาไหว้องค์พระใหญ่ และพญานาคตัวใหญ่ แม้จะไกลมากเกือบ 800กม. จากกรุงเทพฯ แต่ถ้าวาสนาบอกว่าต้องได้มาพบกัน ยังไง ยังไง ก็จะต้องได้มาพบ ผมเชื่อแบบนั้น
และตามสัญญา ผมได้เขียนบล๊อกๆ นี้ให้แล้วนะครับ หวังว่าจะทำให้ภูมโนรมย์แห่งมุกดาหารจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม่ว่าคนที่ติดตามอาจจะไม่มาก แต่ก็ตั้งใจทำให้ครับ 

By: K.C.A.N