31 กรกฎาคม 2564 ขอบันทึกเอาไว้ว่าน้องข้างบ้านที่น่ารักคนหนึ่งได้จากโลกนี้ไปจากโรคโควิด-19 ทิ้งลูกสาว เอาไว้ 4คน โดยคนเล็กสุดพึ่งจะ 4ขวบเท่านั้น...
เหตุการณ์เริ่มต้นประมาณวันที่ 8 กรกฎาคม เพื่อนข้างบ้านได้พาภรรยาออกไปตลาดแถวรังสิตในตอนเช้าตรู่ เพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารขายในหมู่บ้าน ซึ่งก็จะเป็นเหตุการณ์ปกติในแทบทุกวันหรือ 2วันครั้ง ก็มีการป้องกันเป็นอย่างดี เพราะเพื่อนผมเขากลัวมาก ขนาดจะขึ้นรถยังต้องเอาแอลกอฮอล์ฉีดรองเท้าก่อนก้าวขึ้นรถเลย...
วันศุกร์ที่ 9 กรกฏาคม 2564 ตัวภรรยาเริ่มมีคั่นเนื้อคั่นตัว
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม 2564 เริ่มมีไข้ตัวร้อน
วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฏาคม 2564 ลูกสาวคนที่ 2 กับ 3 ก็เริ่มคั่นเนื้อ คั่นตัว
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 เพื่อนผมเริ่มคั่นเนื้อคั่นตัว ปวดเมื่อย โดยที่ภรรยาเองก็ไข้ไม่ลดลงเลย รวมทั้งลูกสาวอีก 2คนด้วย
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม 2564 ภรรยาเริ่มที่จะหอบเหนื่อย เพื่อนผมเริ่มมีไข้ เสียงเริ่มเปลี่ยน
วันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 เพื่อนพาทั้ง 3แม่ลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ส่งสัยว่าติดโควิด-19 ซึ่งวันนั้นภรรยาเขาหอบเหนื่อย แต่ทางโรงพยาบาลก็ตรวจให้แค่ 3คน แม่ลูก โดยใช้สิทธิบัตรทอง แต่ไม่ตรวจให้เพื่อนผม เพราะเพื่อนผมมีประกันสังคม โรงพยาบาลบอกให้ไปตรวจตามสิทธิที่โรงพยาบาล จากนั้นก็ให้ยาลดไข้ แล้วให้กลับมารอผลตรวจที่บ้าน... ทั้งๆ ที่ก็เห็นๆ อยู่ว่าคนไข้หายใจเหนื่อยหอบ ยังให้กลับมารอผลที่บ้านอีก และนี่ก็เป็นอีก สาเหตุที่ทำให้น้องเขาเสียชีวิต
15 กรกฎาคม 2564 เพื่อนผมก็ได้ออกไปหาซื้อชุดตรวจ Antigen test กลับมาตรวจเองที่บ้าน ผลก็คือติดโควิด-19 จากนั้นก็ได้ถ่ายรูปและนำไปให้โรงพยาบาลประกันสังคมดู แต่ก็ถูกปฎิเสธว่า ไม่สามารถใช้ยื่นยันได้ ต้องเป็นผลตรวจแบบ RT-PCR เท่านั้น และโรงพยาบาลก็ไม่ยอมตรวจให้ด้วยอ้างว่าน้ำยาหมด
16 กรกฏาคม 2564 เพื่อนผมออกไปหาหมออีกโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่ง เพื่อขอให้ตรวจแบบ RT-PCR ก็บอกว่าไม่รับตรวจเหมือนกัน เพราะว่าเตียงเต็ม ขนาดยอมเสียเงินตรวจเองยังไม่ยอมตรวจให้เลย
วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม 2564 ผลตรวจ RT-PCR ออกมาว่าน้องและลูกสาว 2คนติดโควิด ซึ่งกว่าจะได้ผลตรวจ เชื้อก็ลงปอดไปเรียบร้อยแล้ว น้องเขาหายใจเหนื่อยมากๆ เริ่มลุกเดินไม่ไหว เพื่อนบ้านทุกคนพยายามช่วยกันหาเตียงตามโรงพยาบาลต่างๆ โทรไปทุกเบอร์โทรที่ให้มา ก็บอกว่าต้องให้ผู้ป่วยหรือคนในบ้านเป็นคนโทรมา เพราะว่าต้องสอบถามอาการก่อน เนื่องจากเตียงเต็มถ้าไม่เป็นผู้ป่วยสีแดงก็จะให้รักษาตัวที่บ้าน...
วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 2564 ลูกสาวได้ ไลฟ์ใน Facebook ขอให้ใครก็ได้มาช่วยแม่เขาหน่อย แม่เขามือเท้าชาหมดแล้ว นั่นก็คือค่าออกซิเจนในเลือดคงจะต่ำมาก ไม่พอเลี้ยงเซลล์ต่างๆ พี่ข้างบ้านก็ช่วยกันประสานจนกระทั่งบ่าย 3 โมงก็มีรถกู้ชีพเข้ามารับตัวน้องเขาไปโรงพยาบาล...
ส่วนที่เหลืออีก 5คนที่อยู่ในบ้านก็ต้องกักตัวต่อ ซึ่งคนที่ดูอาการหนักสุดก็คงจะเป็นเพื่อนผมที่เป็นสามีของน้องเขา และเพราะว่าโทรคุยกับเขา เขาจะหายใจแบบหอบมาก และบอกว่าให้ไลน์มาดีกว่าพูดไม่ไหว... ซึ่งจากการคุยก็รู้ได้เลยว่าเชื้อน่าจะลงปอดแล้ว แต่ปัญหาก็คือไม่มีผลตรวจ RT-PCR ทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าโรงพยาบาลไหนได้ ต้องพยายามดิ้นรนออกหาที่ตรวจให้ได้ และนั่นเป็นจุดบอดของระบบสาธรณะสุขไทยเลย เพราะให้คนที่ติดเชื้อเดินทางออกไปหาที่ตรวจ RT-PCR ซึ่งก็บอกได้เลยว่า น่าจะมีคนติดเชื้อจากเพื่อนผมอีกหลายคนแน่นอน แต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 โรงพยาบาลให้ทุกๆ คนในบ้านที่ยังไม่ได้ตรวจไปตรวจทั้งหมด เพราะว่าพบว่า สมาชิก 3คนที่ตรวจไปก่อนหน้าติดโควิดทั้งหมด เพื่อนผมกับลูกสาวคนโต และน้องคนสุดท้องก็ได้ไปตรวจ
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 ผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อโควิด ทั้งบ้าน แต่ว่าเด็กๆ เริ่มจะหายกันแล้ว ไข้ลดลงแต่เสียงพูดยังไม่ปกติ ช่วงเที่ยง มีรถจากเทศบาลมารับลูกสาวคนที่ 2 ไปโรงพยาบาลสนามที่บึงยี่โถ และช่วง 17:00 ก็มารับเพื่อนผมไปที่โรงพยาบาลธัญบุรี
วันพฤหัสที่ 22 กรกฎาคม 2564 ก็มารับสมาชิกที่เหลือไปโรงพยาบาลสนามที่ ม.ราชมงคล
วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 อบต. มาพ่นยาฒ่าเชื้อให้ที่ในบ้านทั้งหมด
วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 เด็กๆ เริ่มกลับบ้าน โดยชุดที่ไป ม.ราชมงตลกลับมาก่อนช่วง 17:00
วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เด็กคนที่อยู่ที่ บึงยี่โถก็กลับมา
ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปด้วยดี เด็กๆ ก็โทรคุยกับพ่อ กับแม่เขา ซึ่งพ่อก็เริ่มอาการดีขึ้น ไม่ต้องใช้ออกซิเจนแล้ว แต่ยังไอมากอยู่ แต่แม่ยังต้องใช้เครื่องผลิตออกซิเจนอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจแล้ว
วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 น้องข้างบ้านอีกหลังนึงไลน์มาบอกตอนดึกๆ ว่า น้องข้างบ้านแน่หน้าอกมาก หายใจไม่ออก แต่ตอนนี้หมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ ลูกสาวก็ร้องไห้กันใหญ่
วันที่ 30 กรกฎาคม 2564 เพื่อนข้างบ้านก็โทรมาตั้งแต่เช้า ว่าได้คุยกับน้องแล้วน่าจะไม่เป็นอะไร เสียงใสเลยไม่เหนื่อยหอบด้วย น่าจะปลอดภัยแล้ว...
วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 เวลาตีห้าครึ่ง น้องข้างบ้านอีกหลังนึงก็โทรมาร้องไห้ บอกว่าพยาบาลโทรมาบอกว่าน้องเขาเสียแล้ว... ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เปิดประตูบ้านออกมาเสียงเด็กๆ ร้องไห้ระงมเลย ไม่รู้จะช่วยยังไงสงสารมาก กักตัวก็ต้องกัก แม่ก็มาเสียชีวิต พ่อก็ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
กว่าจะประสานโรงพยาบาล รถส่งศพ และวัดได้ ก็เกือบ 10โมง โดยกำหนดเผาตอน 10โมงครึ่ง ลูกสาวคนโต กับคนที่ 3 ขอออกมาส่งแม่ด้วยส่วนคนเล็กสุด ก็ให้คนที่ 2 ดูแลเอาไว้และก็มีคนมาร่วมส่งประมาณ 10กว่าคน .ใช้เวลาไป 30นาที พระ 4รูปสวดให้ 1จบแล้วก็เผาเลยภาพที่สะเทือนใจมากๆ ก็ตอนที่ลูกสาวคนโตไปนั่งคุกเข่าร้องไห้และคุยกับแม่เขาหน้าเตาเผาศพนีแหละ
จากเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาต่างๆ ของบ้านเราได้จริงๆ
ตั้งแต่รัฐบาลหาวัคซีนมาไม่เร็วพอ หาวัคซีนที่ประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำมา และไม่สามารถทำให้คนเชื่อมั่นกับวัคซีนได้ด้วยภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของตัววัคซีนและรัฐบาลเอง
ระบบสาธารณะสุขยังยึดตามกฎต่างๆ มากเกินไป ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้ พรก ฉุกเฉิน แต่เหมือนทุกอย่างไม่ฉุกเฉิน
ฝ่ายค้านเล่นเรื่องวัคซีนมากเกินไปจนทำให้คนไม่กล้าฉีด
บอกได้เลยว่าถ้ายังคงทำแบบเดิมๆ อย่างนี้อยู่ จะไม่มีวันที่จะสามารถควบคุมโรคได้ พรก,.ฉุกเฉินที่ประกาศมาปีกว่าๆ เพียงเพื่อรักษาอำนาจรัฐเท่านั้น ไม่ใช่เพือรักษาโรคระบาดและชีวิตให้กับประชาชนแม้แต่น้อย
ทั้งๆ ที่อาการออกขนาดนี้ ยังไม่รับรักษาเขาเลย ให้กลับบ้านรอผล RT-PCR 3วัน
ทั้งๆ ที่เขาไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็ไม่ตรวจให้ ให้เขากลับไปใช้สิทธิโรงพยาบาลประกันสังคม
ทั้งๆ ที่เขาไปซื้อชุดตรวจมาเองแล้วว่าเป็นโควิด ยังไม่สามารถอ้างอิงเพื่อขอรับการรักษาได้
ทั้งๆ ที่เขายอมเสียเงินตรวจเอง ก็ไม่ตรวจให้เขา เพราะไม่มีน้ำยา เพราะเตียงเต็ม
ให้คนที่รู้ว่าตัวเองเป็นโควิด วิ่งไป วิ่งมา เพื่อเอาชีวิตรอด แบบนี้นะหรือจะไม่ทำให้เชื้อกระจาย
ขอให้น้องสาวคนดี กลับไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อของลูกหายและกลับมาดูแลลูกๆ ต่อแล้ว สงสารก็แต่เด็กๆ ต้องมากำพร้าแม เพราะรัฐบาลที่บริหารไม่เป็นจริงๆ เลือกตั้งครี้งหน้าจะไม่เลือกพรรคพวกนี้แล้ว
By : KCAN