วันหยุดยาวชดเชยสงกรานต์ ทางครอบครัวน้าอี๊ด เขานัดกันกับภรรยาผมว่าจะมาพบกันและทานอะไรกันนิดหน่อยที่ชลบุรี ที่เป็นบ้านของลูกสาวน้าอี๊ด ที่มาทำงานและแต่งงานอยู่ที่ชลบุรี ทางครอบครัวน้าอี๊ดก็
เดินทางลงมาตั้งแต่วันศุกร์แล้ว เพราะเป็นวันหยุด โดยเดินทางมาจากคนละทิศ ละทาง น้าอี๊ด น้าหน่อยเดินทางมาจากยโสธร ลูกๆ ก็มาจากสกลนคร ซึ่งก็ใช้เวลาในการเดินทางเป็นวัน แต่ว่าผมกับครอบครัวเดินทางวันเสาร์ และกลับวันอาทิตย์ เพราะว่าไม่หยุดชดเชย และชลบุรีเองก็ไม่ไกลมากจากที่บ้าน เดินทางจริงๆ ก็ไม่เกิน 2ชั่วโมง แต่ว่าไม่รวมรถติดนะครับ
เพราะรถชอบติดตรงจุดพักรถบางปะกง ติดแบบยาวๆ 10กม. ก็เสียเวลากว่า 1ชม. แล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 3ชม. กว่าจะถึงบางแสน ซึ่งทางภรรยาได้จองรีสอร์จเอาไว้ ให้ใกล้กับบ้านของลูกสาวน้าอี๊ด ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจาก
หาดบางแสนมากนัก หลังจากคืนวันเสาร์ที่ได้ดื่มกิน พูดคุยกันให้หายคิดถึงแล้ว และร่ำลากันแล้ว คืนนั้นก็กลับมานอนที่รีสอร์จ
เช้าวันอาทิตย์ ลูกสาวก็บอกว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันหรือเปล่า หรือว่าจะกลับบ้านเลย ซึ่งแม่ผมก็บอกว่าอยากไปเที่ยวจะรีบกลับทำไมบ้าน เลยหาที่เที่ยวกัน ก็เลยบอกว่า เมื่อคืนเห็นหมอต้องบอกว่ามีวัดสวยๆ อยู่บนเขา แถวๆ อำเภอศร๊ราชา แต่ไม่รู้ว่าชื่อวัดอะไร พอดีไม่ค่อยได้ตั้งใจฟัง ประกอบกับ Lกฮ ด้วย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ลูกสาวผมเขาหาจากในเน็ตแปล๊บเดียว ก็บอกว่าน่าจะเป็น
สำนักสงฆ์เขาพระครู อยู่บนเขามีพญานาค และอยู่ที่อำเภอศรีราชา
ก็เลยสอบถามว่าไกลจากที่นี่หรือเปล่า ลูกสาวก็บอกว่าประมาณครึ่งชั่งโมง ก็ไม่ไกลมาก เลยตกลงกันว่าจะไปกันที่นั่น ซึ่งช่วงแรกๆ ภรรยาผมเขาไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเบื่อเที่ยววัดแล้ว มาทะเลก็ควรจะไปเที่ยวทะเล หาอาหารทะเลอร่อยๆ กิน แต่ด้วยความที่ว่าบ้านผมค่อนข้างจะประชาธิปไตย ซึ่งโหวตกัน
แล้ว ภรรยาผมก็เลยแพ้ แต่เพื่อไม่ให้แกเสียใจ ก็ได้ขับรถเข้าไปที่หาดบางแสนในตอนเช้าประมาณ 8:30 ไม่น่าเชื่อว่ารถติดแล้ว คนเยอะมากๆๆๆๆ ภรรยาผมก็เลยถอดใจ และก็ตกลงว่าไปเที่ยววัดก็ได้ พอไปถึงที่วัด ก็ต้องขึ้นเขา ซึ่งถือว่าชันใช้ได้ ต้องปิดแอร์ขึ้นกันเลย เข้าใจว่าระยะทางค่อนข้างสั้น
และก็โชคดีที่มาที่วัดค่อนข้างจะเช้าคือประมาณ 9โมงครึ่ง ขนาดมาเช้ายังไม่ค่อยจะมีที่จอดรถเลย แต่ก็โชคดีรอบ 2 คือมีแม่มาด้วยทางเจ้าหน้าที่เลยช่วยหาที่จอดรถที่ใกล้ๆ ให้เพราะจะได้ไม่ต้องเดินไกลมาก ทางวัดเอง ก็จะมีอาคาร เป็นอาคาร 3ชั้น ซึ่งเราจะเข้าไปที่ชั้นที่สอง เป็นห้องโถงใช้เป็นที่รับประทาน
อาหาร ซึ่งสามารถมองเห็นวิวของเมืองศรีราชาได้อย่างสวยงาม ทางวัดเองก็จะมีโรงทาน ประกอบอาหารให้รับประทานฟรีด้วย ส่วนชั้นล่างจะเป็นห้องปฎิบัติธรรม ซึ่งก็ไม่ใครคนทั่วไปลงไปข้างล่าง เพราะว่ามีผู้มาปฎิบัติธรรมอยู่ 100กว่าท่าน ส่วนชั้นที่ 3 เป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ และมีพญานาค พร้อมลูกแก้ว ที่จะเห็นภาพจริงหัวกลับ ของเมืองศรีราชาให้ได้ชมผ่านลูกแก้วด้วย
ซึ่งทางวัดเขาได้เตรียมลิฟท์ให้กับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถขึ้นไปไหว้พระที่ชั้น 3ได้ด้วย ทำให้แม่ผมได้มีโอกาสชึ้นไปดูวิวและกราบพระที่ชั้น 3ด้วย ซึ่งสามารถใช้รถเข็นได้ทั้งวัด ยกเว้นห้องน้ำ เรียกว่าเป็นการออกแบบที่ดีทีเดียว แต่ว่าที่ชั้น 3จะเป็นเหมือนดาดฟ้า ทำให้โดนแดดแบบเต็มๆ จึงทำให้ค่อนข้างร้อนมากเลยทีเดี่ยว แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรค์ สำหรับคนที่จะมาขอพรจากลูกแก้วพญานาค และกราบพระ ขนาดเวลาประมาณ 10โมงกว่ายังร้อนมาก แต่ทางวัดก็จะมีร่มให้ยืมใช้กันแดดอยู่
เห็นบอกว่าวัดได้รับการออกแบบจากอาจารย์ท่านเดียวกับที่ออกแบบวัดร่องเสือเต้น หรือที่เรียกกันว่าวัดสีน้ำเงิน ที่อยู่ที่เชียงราย ว่างๆ ก็สามารถเคินทางมาเยี่ยมชม ขอพร หรือมาตั้งโรงทานกันได้นะครับใกล้ๆ กรุงเทพฯ