วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้พิชิตยอดเขาวงพระจันทร์

    


    ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้พิชิตยอดเขาวงพระจันทร์ หนึ่งความภูมิใจที่จะจดจำไปตลอดชีวิต กับขั้นบันได 3,790ชั้น ความยาวในการเดินประมาณ 1.680กิโลเมตร. ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นเขาอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีทางเรียบๆ เลย ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2-3ชม. แล้วแต่ความแข็งแรงของร่างกาย โดยของผมกับลูกสาวก็ใช้เวลาไปประมาณ 2ชั่วโมงเศษ



    เขาวงพระจันทร์ตั้งอยู่ที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางที่ 650เมตร โดยข้างบนเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ ที่มีรอยพระพุทธบาท รอยที่ 4 (โยนกปุเร) เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่อยากไปมาหลายปี แต่ไม่มีโอกาสซักที จนเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว พาลูกสาวคนโตไปรับแม่เขาที่โรงงานแถวนวนคร ก็คุยกันว่าอยากไปหาที่เที่ยววันพรุ่งนี้ ลูกสาวบอกว่าอยากไปเขาช้างเผือก ที่กาญจนบุรี แต่ว่าไม่น่าจะสามารถไปกลับได้ภายในหนึ่งวัน เลยพูดไปว่า ไปขึ้นเขาวงพระจันทร์ดีกว่ามั๊ย... ลพบุรีนี่เอง ลูกสาวบอกวา่าไปๆ ก็บอกว่าถ้าจะไปจริงๆ ก็ไปแต่เช้าเลยนะ ไม่อย่างนั้นจะร้อนมาก...

    จนเช้าวันอาทิตย์ ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าลูกสาวคนโตจะตื่นมาจริงๆ ตั้งแต่ตีห้าเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยตื่นมาก่อน ฮ่าๆๆ ตั้งใจสุดๆ แล้วคนเป็นพ่อจะไปทำลายความตั้งใจเขาได้อย่างไร ก็อาบน้ำอาบท่ากัน และออกจากบ้านกันตอน 6โมงเศษ และวิ่งม้วนเดียวมาถึงที่ ปั๊มน้ำมันใกล้ๆ ทางเข้าวัดเขาวงพระจันทร์ประมาณ 8โมงนิดๆ ซึ่งก็เป็นปั๊มเดียวเท่านั้นที่แวะ เพื่อหาข้าวกินกันก่อนจะขึ้นเขา เพราะเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไป แวะเข้าห้องน้ำห้องท่ากันให้เรียบร้อย และก็ซื้อน้ำ ลูกอม ขนมเล็กน้อย เพื่อเป็นเสบียงระหว่างทางขึ้นเขา  จากนั้นก็เดินทางต่อเขาไปที่ลานจอดรถของวัด ประมาณ เกือบ 9โมง น่าจะอีก 20นาที 9โมง และก็เริ่มออกเดินทางกันเลย

    จากลานจอดรถของวัดเดินไปจนถึงจุดเริ่มต้นทางขึ้นบันไดขั้นที่ 1 ก็ใช้เวลากว่า 15-20นาทีกันแล้ว เหงื่อเริ่มซึมเล็กๆ จากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นบันไดกันเลย โดยดูนาฬิกาตอนนั้นประมาณ 9โมงนิดๆ เดินขึ้น และขึ้นอย่างเดียว จน 500ขั้นแรกผ่านไป เริ่มเหนื่อยมาก หัวใจเต้นแรงมากต้องพักกันแล้ว โดย 2ข้างทางจะมีศาลา ร้านค้า ให้พักเป็นระยะ แทบจะทุก 200ขั้นบันไดกันเลยทีเดียว จนเดินขึ้นมาถึงที่ประมาณ ขั้นที่ 600 ก็มีคนเดินย้อนกลับลงมา ได้สอบถามว่าข้างบนสวยไหม คำตอบที่ได้คือ ขึ้นไม่ถึงข้างบน ไปได้แค่ 700ขั้นเท่านั้น เพราะต้องไปที่อื่นต่อ... 


    ทำให้ลูกสาวผมซึ่งเหนื่อยมาก และเรื่มจะท้อ เพราะไม่เคยออกกำลังกายก่อนขึ้นเขาเลย ก็เริ่มชวนผมกลับซะแล้ว บอกว่าไปเที่ยวที่อื่นเถิดป๊า... แจนไม่ไหวแล้วซะงั้น ต้องนั่งพักเกือบ 20นาที และค่อยๆ โน้มน้าวใหม่ ตั้งแต่บอกเขาว่า ป๊าแก่แล้วถ้าไม่ขึ้นตอนนี้ ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ เราค่อยๆ ขึ้นไปพักไปก็ได้ ไม่ต้องรีบมาก มีเวลาทั้งวัน พักทุกๆ 100ขั้นยังได้เลย เสียความตั้งใจ เป้าหมายมีไว้ทำลาย และอื่นๆ อีกมากมาย จนเขายอมที่จะไปต่อ และก็เดินขึ้นไปจนเห็นป้าย 1500, 2000, 2500 และ 3000ขั้น... ทั้งดันก้น ดึงมือ...

    ยิ่งสูงวิวก็ยิ่งสวย เวลาพัก ก็จะหันกลับมามองวิวข้างหลัง จากขั้นที่ 3000 ขึ้นไป จนถึงซุ่มประตูวัด เป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด จะเป็นเนิน 2เนินซ้อนกัน เรียกว่าค่อนข้างชันเลยทีเดียว และที่พักริมทาง ก็ไม่มีด้วย เรียกว่าถ้าเหนื่อยก็ยืนพักบนขั้นบันไดนั่นแหละ ยืนตากแดด ให้หายเหยื่อยแล้วก็ก้าวต่อไปอีก 20-30ขั้น ก็พักอีก สลับกันไปเรื่อยๆ




    และแล้วเราก็เห็นซุ้มประตูวัดอยู่ข้างหน้า เรียกว่าดีใจกันสุดๆ 2พ่อลูก อีกไม่กี่ขั้นจะถึงแล้ว สู้ๆ ไอ้ลูกสาว ตอนนั้นก็เป็นเวลา 11โมง 45นาทีพอดี ขึ้นถึงวัดก็เที่ยงแป๊ะๆ นั่งรอให้หายเหนื่อยกันอีก 20นาที ก่อนจะออกเดินสำรวจวัด ไหว้พระ นมัสการรอยพระพุทธบาท ดูวิว และถวายสังฆทานให้กับหลวงพ่อเจ้าอาวาส 


    หลังจากที่ถวายสังฆทานให้หลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อก็เล่าประวัดของเขาวงพระจันทร์ให้ฟัง ซึ่งเท่าที่จำได้จะเกี่ยวกับการต่อสู้ของยักษ์ กับพระราม แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ เพราะหลวงพ่อท่านพูกค่อนข้างจะเบา เพราะท่านเคยไปตัดชิ้นเนื้อที่กล่องเสียง หรือเส้นเสียงออก เลยพูดดังไม่ค่อยได้ จึงมาหาดูข้อมูลในเว็บไซท์ต่อ ซึ่งก็ได้ข้อมูลจากวิกิพีเดียมาตามข้างล่าง

"ท้าวกกขนาก ยักษ์ตนสุดท้ายที่ไม่ยอมแพ้พระราม ตามตำนานเรื่องรามเกียรติ์ จึงถูกพระรามแผลงศร โดนยักษ์กระเด็นลอยละลิ่วข้ามมหาสมุทรอินเดียมาตกที่ยอดเขาลูกนี้ แล้วพระรามก็สาบให้ศรปักอกเอาไว้หากวันใดที่ศรเขยื้อนจะให้หนุมานลูกพระพาย(ลูกลม ถ้าตายเมื่อต้องลมพัดผ่าน จะกลับฟื้นคืนชีพ หนุมานจึงไม่รู้จักตาย) เอาฆ้อนมาตอกย้ำลูกศร ให้ปักอกไว้เช่นเดิม แต่ยักษ์โดนเข้าขนาดนี้ก็ยังไม่ตายนอนรอความตาย ฝ่ายนางนงประจันทร์ลูกสาวท้าวกกขนากก็เหาะตามมาเพื่อปรนนิบัติดูแลพ่อ เพราะพ่อยังไม่ตาย ท้าวกกขนากได้แต่นอนแอ้งแม้งอยู่ในถ้ำยอดเขานางพระจันทร์นี้และต่อมาเมื่อนางทราบว่าหากได้น้ำส้มสายชูมารดที่โคนศรแล้วศรจะเขยื้อนหลุดออกมาได้ แต่หากศรเขยื้อน ไก่แก้วก็จะขันเรียกหนุมานเอาฆ้อนมาตอกศร จึงเป็นเหตุผลให้เมืองลพบุรีไม่มีน้ำส้มสายชูขายมานาน จากตำนานนี้จึงเรียกเขาลูกนี้ว่า เขานงประจันต์หรือนางพระจันทร์ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2496 หลวงพ่อโอภาสี ได้ขึ้นมาบนเขานี้ และเห็นว่าบริเวณเขาทั้ง4 ด้าน เป็นรูปเขาโค้ง มองทางไหนก็เห็นเป็นวงโอบล้อมอยู่ จึงขนานนามว่า เขาวงพระจันทร์ นับตั้งแต่นั้นมา"  

    

จากนั้นหลวงพ่อก็แนะนำให้ลงไปกราบพระแม่เกตุมณีศรีประจันต์ ที่เป็นลูกสาวของ ท้าวกกขนาก ที่ถ้ำข้างล่าง โดยหลวงพ่อบอกว่าพระแม่ฯ ท่านศักดื์สิทธิ์มาก ใครมาขออะไรจากพระแม่ฯ แล้ว จะต้องกลับมาอีกครั้งแทบทุกรายเลย จึงได้ชวนลูกสาวลงไปกราบพระแม่ฯ 



เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำแล้ว เห็นชุดที่แขวน ก็น่าจะเป็นเครื่องรับประกันว่าพระแม่ฯ ท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ครับ ภายในถ้ำอากาศเย็นมากเหมือนเป็นทางผ่านลมเลย ก็กราบพระแม่ฯ แต่ว่าไม่กล้าบนอะไร แค่ขอให้ทุกคนในครอบครัวสุขภาพแข็งแรงๆ  


    จากนั้นก็ถึงเวลาเดินลงจากเขากันแล้ว อีก 3,790ขั้น ซึ่งตอนลงไวกว่าตอนขึ้นค่อนข้างมาก ใช้เวลาประมาณ 30-40นาทีก็ลงมาถึงข้างล่าง โดยลงมากินข้าวเที่ยงตอนบ่ายสองโมง กันที่ร้านหน้าวัด ก่อนเดินทางกลับบ้าน โดยกลับมาถึงบ้านก็ประมาณ 5โมงกว่าๆ เป็นทริป 1วัน ที่เหนื่อย แต่ สนุกมาก และได้ข้อคิดดีๆ ให้ลูกสาวด้วยว่า ต่อไปนี้ในชีวิตเขาจะไม่มีอะไรที่ยากลำบากอีก เพราะว่าเขาได้พิชิตมันไปแล้ว รวมถึง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นด้วย...


ขอบันทึกเอาไว้

ขอบคุณภาพถ่ายจากกล้อง มือถือ Xiaomi 13PRO

BY: KCAN

ไม่มีความคิดเห็น: