วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

สงครามไทย - กัมพูชา 2025

บันทึกไว้เป็นที่ระลึก สงคราม ไทย - กัมพูชา 2025 

24/07/2025  -  28/07/2025 สงคราม 5วัน

เหตุแห่งสงคราม:  มีหลากหลายความเห็นมากตังแต่เศรษฐกิจภายในประเทศกัมพูชาย่ำแย่ถึงขีดสุด และผู้นำกำลังสูญเสียอำนาจการบริหาร เลยพยายามสร้างศัตรูภายนอกประเทศ เพื่อปลูกความรักชาติของคนภายในประเทศ และเพื่อกลบเกลือนการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง 
นอกจากนั้นก็จะมีสาเหตุจากความผิดหวังในการทำข้อตกลงของผู้นำระหว่างไทย (ตระกูลชินฯ) กับผู้นำทางฝั่งกัมพูชา (ตะกรูฮุน) ว่าจะมีการให้โน่น ให้นี่ ให้นั่น (ซึ่งก็หมายถึงปราสาทต่างๆ และดินแดนของประเทศไทย รวมถึงทรัพยากรในอ่าวไทย) กัน 

รวมถึงความไม่เด็ดขาดของผู้นำไทยในยุคก่อน ที่ปล่อยปะละเลยให้ทางกัมพูชา สร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งบันได กระเช้า และอื่นๆ เพื่อปีนขึ้นมาตั้งฐานทัพบนผืนแผ่นดินไทยได้...

โดยระยะหลัง ทางกัมพูชาเริ่มเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ มีการเผาทำลายศาลาตรีมุข ที่เป็นสัญลักษณะแห่งมิตรภาพ 3 ประเทศ ที่อยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (วันที่ 3 มีนาคม 68) เพื่อบงบอกกับไทย และลาวว่า กัมพูชาจะไม่เป็นมิตรที่ดีต่อกันแล้ว จากนั้นทางกัมพูชาก็เริ่มที่จะเสริมกำลังรบ และกองทัพขึ้นมาประชิดชายแดนไทย ลาวตลอดเวลา และรุกคืบเข้ามาในดินแดนของไทย ซึ่งไทยได้ทำการประทวงไปหลายต่อหลายร้อยรอบ แต่ก็ไม่เป็นผล

จุดที่ทำให้เกิดการประทะก็คือเมื่อทางกัมพูชาได้เข้ามายึดปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมืองธม โดยบอกว่าเป็นของกัมพูชา จนทำให้แม่ทัพ (ภาคที่ 2) ของไทยไม่ยอมและสั่งปิดชายแดน กระทบกับธุรกิจสีเทา รวมถึงบ่อนการพนันทางฝั่งกัมพูชาอย่างมาก ทำให้งูเฒ่าไม่พอใจ และโมโหการกระทำของแม่ทัพภาคที่ 2 เรา แต่จุดพีคก็คือเรื่องคลิปเสียงที่นายกฯ ไทย  โทรไปเจรจากับงูเฒ่า โดยบอกว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละฝั่งกับตัวเอง... โดยตัวเองถูกไล่ให้ไปเป็นนายกฯ ที่กัมพูชาแล้ว เลยอยากให้ UNCLE ช่วย และ UNCLE อยากได้อะไรเดี๋ยวหลานจัดให้... ซึ่งก็มีผลด้านการกระทำ เมื่อมีหลายต่อหลายคลิปที่นายกฯ พยายามจะให้ทางกองทัพเปิดด่วนให้ตรงกับทางกัมพูชา...

ทำให้ประชาชนไทยตาสว่างมากๆ ว่าเหตุการโดยลำดับมันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ MOU43, MOU44 จนถึงปัจจุบัน ที่แท้ก็คือธุรกิจระหว่าง 2 ตระกุลนั่นเอง และเกิดการคุยไม่ลงตัว...

และแล้ววันที่ 24/07/68 สงครามก็ได้เริ่มต้นขึ้นโดยทางกัมพูชาเป็นคนเริ่มยิงก่อนเนื่องจากมั่นใจในศักยภาพของกองทัพของตัวเอง โดยใช้อาวุธที่เรียกว่า BM-21 ในการเปิดฉากการรบ  ซึ่งการยิงไม่ได้สนใจว่าลูกกระสุนปืนจะไปตกที่ไหน ทำให้ลูกกระสุนปืนหลายต่อหลายลูกมาตกในหมู่บ้านฝั่งไทย รวมทั้งร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล โรงเรียน รวมถึงสถานที่ราชการอีกมากมาย ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนกว่า 20-30กิโลเมตร เป็นความจงใจสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างสถานะการณ์ ให้คนไทยหวาดกลัว จะได้หนีออกจากพื้นที่ และทางกัมพูชาจะได้เข้ามายึดพื้นที่ได้โดยง่าย

แต่สถานะการณ์พลิกผลัน ไทยได้ส่งเครื่องบินรบ F16 ขึ้นหย่อนไข่ ใส่เครื่องยิง BM-21 จำนวนมาก รวมถึงการใช้โดรนในการทำลายฐานที่มั่นที่ทางกัมพูชาใช้ในการเก็บอาวุธ และลูกกระสุนปืน BM-21ได้จำนวนมาก และเป็นความชอบธรรม เพราะทางกัมพูชาฆ่าผู้บริสุทธิ์และไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม และทำให้ไทยอยู่ในฐานะป้องกันตัวเองและจากการใช้ F-16 และ Grippen ในการช่วยหย่อนไข่ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากหลักพันนาย 

จนกระทั่งวันที่ 28/07/68 เวลาเที่ยงคืน สงครามก็ได้ยุติลง ด้วยความการขอความร่วมมือจากนานาชาติทั้งมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน และสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เรื่องกำแพงภาษีการค้าในการขมขู่เพื่อให้ยุติสงคราม

จากนั้นก็มีการแถลงความสูญเสีย โดยทางการไทยแถลงว่าเราสูญเสียทหารไป 18นาย แต่กัมพูชากลับแถลงว่าสงครามครั้งนี้ ทหารกัมพูชาเสียชีวิตเพียง 5นายเท่านั้น แต่ไทยเสียทหารถึง 18นาย และกัมพูชาเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการรบครั้งนี้ สามารถยึดดินแดนไทยได้จำนวนมาก ทั้งภูมะเขือ ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธน โดยทหารไทยแตกพ่ายไม่เป็นขบวน เพื่อหลอกคนกัมพูชาด้วยกันเอง ....

จากวันนั้นถึงวันนี้ ทางกัมพูชาก็ยังคงออกมาโกหกรายวัน ส่งกองกำลังประชาชนมาป่วนทหารไทยที่ชายแดน แทนการใช้ทหาร แต่ก็ยังมีการเคลื่อนพล และอาวุธยุทธโธปกรณ์ ขึ้นมาเสริมและประชิดชายแดนอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ในสัญญาที่ลงกันไว้ที่มาเลเซียจะบอกว่าห้ามเสริมกำลังพลและอาวุธก็ตาม  แถมยังพยายามยั่วยุด้วยการใช้กับระเบิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และไร้ซึ่งมนุษยธรรม ทำให้ทหารไทยสูญเสียขาไปถึง 6นาย จากนี้ไป ก็ต้องดูเหตุการณ์ กันต่อไปว่าจะมียกที่ 2 ยกที่ 3 อีกไหม... แต่ดูท่าทางผู้นำกัมพูชาคงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ คงจะมีรอบ 2 รอบ 3 ในเร็ววันนี้เป็นแน่

จริงๆ โดยความเห็นส่วนตัว การตีงูควรจะตีที่หัวงู เพื่อไม่ให้มันกลับมาแว้งกัดเราได้อีกต่อไป 

แต่พูดก็พูด คำสาปแห่งปราสาทตาเมือนฯ กำลังทำงาน ในไม่ช้า เจ้างูเฒ่า และลูกๆ ของเขาก็คงจะต้องชดใช้กรรมจากผลการกระทำของพวกเขา โดยส่งผลให้ครอบไม่มีความเจริญ บ้านแตกสาแหลกขาด กลายเป็น No Land Man กันทั้งครอบครับและวงตระกูลอย่างแน่นอน


ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถทำลายคำสาปของตัวปราสาทลงได้... ให้พวกเราคอยดูความหายนะของเขากัน

BY: KCAN.

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

ไปเที่ยวพัทยาแบบเล่นน้ำสระ...

นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้มาที่พัทยา... 

    จำได้ว่าครั้งหลังสุดที่ไปคือช่วงโควิทกำลังระบาดหนักๆ เลย ร้านริมหาดปิดกันแทบหมด ชายหาดเงียบมาก ตอนนั้นรู้สึกว่าดีมากเลย เหมือนหาดส่วนตัวมากๆ  

    อยู่ๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณภรรยาก็บอกว่า เพื่อนชวนไปเที่ยวพัทยา เป็นรีสอร์จแบบ Pool villa เลยสอบถามว่าเพื่อนคือใคร แล้ว Poll villa ที่พัทยาอ่ะที่ไหน คำตอบคือต้องรอก่อนยังไม่แน่ เลยถามต่อว่าแล้วเสาร์-อาทิตย์นี้หยุดใช่หรือเปล่า ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า "ใช่" 

    จากนั้นก็เงียบหายไป 2วัน จนประมาณวันพฤหัส ก็บอกว่า โอนเงินไปจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็สอบถามว่าชื่อรีสอร์อะไร อยู่ตรงไหนของพัทยา คุณภรรยาก็ส่งเป็นลิงค์เข้าในกลุ่มไลน์ ซึ่งก็มีชื่อว่า "เป็นต่อ house colors pool" ไม่ได้อยู่ติดทะเลนะ ราคาไม่แรงมาก ก็ตามสไตล์คุณภรรยาของผมอยู่แล้วครับ ทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง ฮ่าๆๆ เลยเหมือนโดนบังคับให้ไปแบบกลายๆ 

    และเมื่อวันเสาร์มาถึง ก็ออกเดินทางจากบ้านมุ่งสู่หาดพัทยาเหนือ โดยตั้งใจว่าจะไปกินข้าวเที่ยงกันที่ริมหาดกันก่อน แล้วก็ค่อยแวะซื้ออาหารทะเล ที่ตลาด แล้วก็เข้าที่พัก เพื่อทำอาหารเย็นกัน แต่ทว่าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หาดพัทยาเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนไทย ทั้งคนต่างประเทศ เยอะไปหมด หาที่จอดรถริมหาดกันไม่ได้เลย ขับรถวนไปแล้วก็วนมา คั้งแต่พัทยาเหนือจรดพัทยาใต้ แล้วก็วนอยู่ 2-3ครั้ง...

    ในมี่สุดเมื่อทนความหิวไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็นร้านอาหารตามถนนที่พัทยาเหนือแทน ฮ่าๆๆๆ ง่ายและอิ่มเหมือนกัน แค่ไม่เห็นวิวทะเลก็เท่านั้น... เมื่อกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ก็ต้องไปตลาดกันต่อ ตามแผนที่วางเอาไว้ โดยเลือกไปที่ตลาดเทศบาลบางละมุง เพื่อให้ง่ายในการเดินทางต่อไปยังที่พักที่จองเอาไว้ เพื่อเลียงรถติดตามถนนริมของหาดพัทยาด้วย และหาที่จอดรถได้ง่ายกว่า

    บ่าย 2 เศษ เราก็มาถึงที่พักกันครับ โดยที่พักแบ่งเป็น 2 อาคารด้วยกัน โดยแต่ละอาคารจะหันหน้าเข้าสู่สระว่ายน้ำ  อาคารแรกเป็นห้องนอน จะแบ่งเป็น 3 ห้องนอนด้วยกัน และในแต่ละห้องจะสามารถนอนได้ 3-4คน เพราะจะมีเตียง 2 ชั้น และเตียงคู่อีก 1เตียง อาคารที่ 2 จะเป็นอาคารนันทนาการ มีโต๊ะ Pool พร้อมห้องครัว และคาราโอเกะ ชึ่งก็แน่นอนครับ ต่างคนต่างทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบเลย เวลานี้เป็นอิสระ ใครใคร่เล่นน้ำเล่น ใครใคร่ร้องคาราโอเกะก็ร้อง ส่วนผมก็หาเครื่องดื่มเย็นๆ ดับกระหายครับ...

    หมดวันแรกไปด้วยความรวดเร็ว คืนนั้นก็ทั้งร้องเพลงทั้งกินดื่มกันจนดึกเลยทีเดียว ประมาณ เที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ จากนั้นตอนเช้าก็ตื่นมาทำการเก็บกวาด ล้างถ้วยชามของเมื่อคืน จากนั้นก็เล่นน้ำกันครับเป็นการออกกำลังกายตอนเช้า ก่อนที่จะเริ่มทำอาหารเช้ากัน ก็เป็นอาหารง่ายๆ แต่ว่าอร่อยครับ ทั้งข้าวต้มทะเล ไข่เจียว และก็มีพวกขนมปัง กาแฟ ของทางที่พักร่วมด้วย โดยเราต้องเช็คเอาท์ออกจากที่พักก่อน 11โมงเช้า



    และหลังจากที่ออกจากที่พัก เราก็ต้องขึ้นไปกราบอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ ที่อยู่บนเขาทัพพระยากันครับ เป็นปูชนียบุคคลที่นับถืออีกหนึ่งท่าน และก็ฝากท้องมื้อเที่ยงเอาไว้บนเขากับร้านอาหารของกองทัพเรือ ก่อนเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ


By: K.C.A.N













 

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2568

สุขสันต์... วันหยุด แจนแจ่ม

        ตั้งแต่ปีใหม่มา ลูกๆ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน ตอนนี้อาทิตย์นึงก็จะได้เจอลูกสาวคนโต 1ครั้ง ส่วนลูกสาว คนที่ 2 ก็ต้องรอเดือนพฤศจิกายนโน่นถึงจะได้เจอ เพราะไปทำงานต่างประเทศเลย



         และอีกไม่นาน เขาก็คงจะแต่งงานไปมีครอบครัวและไปอยู่กับครอบครัวเขา เมื่อถึงตอนนั้น ก็คงจะมีโอกาสได้เจอลูกๆ น้อยลงไปอีก ดังนั้นแลัวตอนนี้ เมื่อได้มีโอกาสเจอกันแม้แค่ 1ครั้งต่อสัปดาห์ก็ตาม เราก็ต้องออกไปหาความสุขกันหน่อย
 

        วันนี้เราก็แวะมาหาอาหารและกาแฟกินกัน ก่อนที่จะพาเจ้าลูกสาวไปส่งที่ท่ารถตู้ ที่ Majer Rangsit โดยมาแถวๆ คลอง 8 - 9 ลำลูกกา ชื่อร้าน 
เฌอ-leaf   เป็นร้านอาหาร และ veg addic เป็นร้านกาแฟ ที่อยู่ในรั้วเดียวกัน โดยลูกสาวเป็นคนหามา


        เป็นร้านอาหารและคาเฟ่ แนวธรรมชาติ น้ำตก นั่งชิวๆ นั่งคุยกันแบบครอบครัว แม้ว่าค่าฝุ่นในปทุมธานีจะเยอะเกินค่ามาตราฐานไปหน่อย แต่ก็คงจะไม่สามารถหยุดเรื่องของความสุขของครอบครัวได้


        แต่ว่าดูจากบรรยากาศโดยรอบแล้ว ก็ไม่มั่วนะไม่เหมือนอยู่ในเมือง คิดว่าฝุ่นคงไม่มากเหมือนอย่างในเมืองแหละ ถือเป็นการพักปอดไปในตัวด้วย เพราะเดี๋ยวก็ต้องกลับไปสูบฝุ่นในเมืองกันอีกแล้ว


        อีกอย่างก็คือที่นี่มีน้ำตกที่คงจะช่วยลดฝุ่นลงได้บ้าง โดยเราได้ชิวกันตั้งแต่บ่ายโมงเศษ จนเกือบบ่ายสามโมง ก็ได้เวลาที่จะต้องไปส่งลูกสาวที่ท่ารถกันแล้วครับ มีคนบอกว่าเวลาที่เรามีความสุข มักจะผ่านไปไวเสมอ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นไร รออีก 1สัปดาห์ เราก็จะได้เจอกันอีก สำหรับเจ้าลูกสาวคนโต ส่วนเจ้าลูกสาวคนเล็กยังคงตั้งหน้าตั้งตารออยู่...


        หลังจากที่ได้นั่งคุยกัน เจ้าลูกสาวคนโต เขาชอบแต่งตัว ก็แบบผู้หญิงทั่วไป โดยเฉพาะเล็บ เขาเลยเปิดร้านใน Facebook ขายของให้สำหรับคนที่ชอบแบบเดียวกับเขา ขายเล็บเจล (ใช่ไหมหว่า ? ) เรียกไม่ถูก เอาเป็นว่าเป็นเล็บปลอมแล้วกันครับ เพ้นท์เล็บแล้วนำมาติดกับเล็บจริงด้วยกาวพิเศษ อะไรของเขาก็ไม่รู้  บอกให้เลิกมันเปลืองตังค์และไม่มีประโยช์ ก็ไม่ยอมเลิก
แถมบอกว่ามีประโยช์ เพราะช่วยสร้างความมั่นใจเพราะสวย  แถมยังป้องกันไม่ให้คนเห็นเล็บดำๆ ได้ด้วย


        เห้อ...ก็เป็นความสุขของเขาอ่ะนะ ในฐานะคุณพ่อ ก็คงจะทำได้แค่สนับสนุนเขาเท่านั้น ยังไงก็ขอฝากร้าน และฝากกด Like เพราะสนับสนุนเจ้าลูกสาวเอาไว้ด้วยแล้วกันครับ ตามลิงค์ข้างล่าง 

https://www.facebook.com/kcan.trade  <== "เลิกได้เลิกนะ แต่ถ้าเลิกไม่ได้ แจนแจ่มมีขาย" ฮ่าๆๆ
        

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568

ข้าวหน้าเป็ด ในตำนานกลับมาแล้ว...

    จากบล๊อกที่เคยเขียนเมื่อหลายปีก่อนในหัวเรื่อง ให้มันจบที่รุ่นเรา กับร้านข้าวหน้าเป็ดในตำนานสี่แยกบ้านแขก ที่ต้องหายไปเพราะรุ่นลูกไม่ทำต่อนั้น... ตอนนี้ร้านข้าวหน้าเป็ดในตำนาน ร้านนั้นได้กลับมาเปิดอีกครั้ง เมื่อลูกเขาจะเกษียณอายุงาน เลยกลับมาเริ่มต้นสืบสานธุรกิจที่พ่อกับแม่เคยทำเลี้ยงเขาโตมาอีกครั้ง

    ร้านข้าวหน้าเป็ดนายเปรื่อง (ตำนานสี่แยกบ้านแขก)  ความจริงผมต้องเรียกว่าพ่อเปรื่องเพราะเป็นพ่อของเพื่อนสนิทผมเอง โดยเพื่อนเขาได้ไปเปิดร้านใหม่ที่แถวสายไหม (วัชรพลซอย 4) 


    โดยเพื่อนผมเขาทำทุกอย่าง ทุกขั้นตอน เหมือนอย่างที่พ่อเขาทำเลย เพื่อให้ระลึกถึงพ่อและแม่ของเขา แม้แต่ชื่อร้านก็ยังใช้ชื่อพ่อมาเป็นชื่อร้าน เป็ดต้องย่างเตาถ่านเท่านั้น แม้กระทั่งถ่านก็ต้องไปซื้อที่ร้านประจำที่พ่อเคยพาเขาไปซื้อ เพื่อรักษาคุณภาพในการย่างเอาไว้ เพื่อนบอก...


    ทำให้ได้คิดว่า เมื่ออายุถึง มีเงินในระดับหนึ่ง และกำลังมองหาอาชีพใหม่รองรับหลังเกษ๊ยณ  อาชีพเดิมของ พ่อ กับ แม่ ก็จะเป็นอาชีพแรกๆ ที่เขาคิดว่าอยากจะทำ...  


    ผมเองก็ดีใจ และขอร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนด้วย อย่างน้อยเป็ดย่างในตำนานที่เคยกินเมื่อ 30กว่าปีก่อน ก็กลับมาให้ได้ลิ้มลองอีกครั้ง สำหรับคนแถวสี่แยกบ้านแขกตอนนี้อาจไม่มีคนรู้จักแล้ว หรือเปล่า...? แต่ถ้าจะมีและยังคิดถึงอยู่ ก็สามารถแวะไปชิมกันได้ ว่ารสชาติยังเป็นเหมือนเดิมไหม 


    พิกัดร้านก็ @13.8901432,100.6397244  หรือเข้าไปค้นหาชื่อ "นายเปรื่อง" ในแผนที่ Google ได้เลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan

วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan 


วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan ไม่ได้มานานหลายปีเลย จำได้ว่าเคยมาเมื่อตอนอาม้ายังมีชีวิตอยู่ และเคยเอามาเขียนบล๊อกเอาไว้แล้วด้วย เดี๋ยวขอย้อนกลับไปดูแป๊บนึง 


จำได้ว่าพามาไหว้เจ้าแม่กวนอิมอยู่ แต่ตอนนี้อาม้าจากไปแล้ว แต่วัดก็ยังสวยเหมือนเดิม เหมือนหลุดเข้าไปในประเทศจีนเลย... จริงๆ แล้ววัดนี้เป็นวัดจีนไต้หวัน แต่ก็มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเหมือนของประเทศจีน


ซึ่งตอนนี้ทั้งจีน และ ไต้หวัน กำลังมีข้อพิพาทย์กันอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะพิพาทย์กันทำไม ทั้งๆ ที่พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ แค่ระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น 


ออกจากเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศดีกว่า เราคงจะช่วยเขาแก้ปัญหาไม่ได้  ขอแค่อย่ารบกันก็พอ...
กลับมาเที่ยวต่อของเราครับ  มาครั้งนี้พาลูกสาวคนโต และคุณภรรยามาเที่ยวแทน เพราะครั้งที่แล้วลูกสาวคนโตไม่ได้มาด้วย 


พอลูกสาวเห็นเท่านั้นแหละ ก็บอกว่าสวยมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะพลาดได้ในครั้งที่แล้ว และอาม่าเคยมาเที่ยวก่อนเขาแล้วด้วย...  


สิ่งที่เห็นแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ก็น่าจะเป็นตรงฐานของเจ้าแม่กวนอิม (วิหารเจ้าแม่กวนอิม) ที่ตกแต่งข้างในอย่างสวยงาม และเปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมได้ และทางฝั่งเจดีย์ก็เหมือนกัน แต่วันนั้นทางฝั่งเจดีย์ เขาปิดปรับปรุงชั่วคราว เลยเสียดายอยู่ที่ไม่ได้เข้าไปดูข้างใน แต่ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ไปใหม่ 


ส่วนข้างล่างก็เป็นกฎระเบียบการแต่งกายของสถานที่ครับ แต่เท่าที่ดูก็น่าจะสำหรับคุณผู้หญิง ส่วนของผู้ชายไม่ได้มีบอกเอาไว้ แต่ก็น่าจะเป็นชุดสุภาพอ่ะนะ 


ส่วนพิกัดของวัด จำได้ว่าเคยปักหมุดเอาไว้ให้ในบล๊อกที่แล้ว แต่เดี๋ยวปักให้ใหม่ได้ เฝื่อว่าตำแหน่งเปลี่ยน ฮ่าๆๆ  
พิกัดของวัด  @13.8566698,100.6771218 (ตำแหน่งไม่เปลี่ยนครับ ^^)
ยังไงวันว่าง ก็พาพ่อ พาแม่ ออกไปเที่ยวได้ เดินเล่นรอบวัดซัก 1 รอบ จะได้ก้าวเดินประมาณ 3,000กว่าก้าวเลย แต่ถ้าเดินวนไปวนมาอย่างลูกสาววันนั้นก็ได้ก้าวเดินกลับมาเกือบ 6,000ก้าวเลย ฮ่าๆๆ






















แบตเตอรี่ โซเดียม และ ลิเธียม ไอออน

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ แบตเตอรี่โซเดียมไอออน และลิเธียมไอออน กัน 

ว่ามีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร  รวมถึงตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกใช้งาน:


1) ความหนาแน่นของพลังงาน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่า ซึ่งทำให้ดีขึ้นสำหรับการใช้งานที่ใช้พลังงานสูง เช่น ยานพาหนะไฟฟ้า

2) ค่าใช้จ่าย แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีความคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากมีโซเดียมมากกว่าลิเธียม 

3) ความปลอดภัย แบตเตอรี่โซเดียมไอออนปลอดภัยกว่าและมีโอกาสติดไฟน้อยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

4) ประสิทธิภาพอุณหภูมิ แบตเตอรี่โซเดียมไอออนทำงานได้ดีกว่าในอุณหภูมิที่สูงมาก ในขณะที่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 15–35°C

5) วงจรชีวิต แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีแนวโน้มที่จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่โซเดียมไอออน

6) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าในระหว่างการผลิต แต่สามารถปรับปรุงได้ด้วยเทคโนโลยี

7) การรีไซเคิล แบตเตอรี่โซเดียมไอออนรีไซเคิลได้ง่ายกว่าและเป็นพิษน้อยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

8) ห่วงโซ่อุปทาน ลิเธียมนั้นหายากและมีราคาแพง และจีนก็ควบคุมห่วงโซ่อุปทานลิเธียมทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่แบตเตอรี่โซเดียมไอออนเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้ม และบางคนบอกว่าสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี

9) ตัวย่อ/สัญลักษณ์  แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน "Li-ion", แบตเตอรี่โซเดียมไอออน "Na-ion"

10) สำหรับประเทศไทย ลิเธียมน่าจะหายาก แต่ โซเดียมมีเยอะอยู่

น่าจะพอรู้จักกับแบตฯ ลิเธียมไอออน และ โซเดียมไอออน กันมากขึ้นแล้ว การเลือกใช้งานก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่จะนำไปใช้  ยังไงบล๊อกหน้าจะหาความรู้ใหม่ๆ มาเล่าให้ฟังอีก

By: K.C.A.N

ขอบคุณข้อมูลจาก ChatGPT.

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อีกหนึ่งวันที่ต้องจดจำของฉัน


    2024.11.24 จะเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจดจำในชีวิต คือวันที่ที่ลูกสาวต้องเดินทางไปต่างประเทศ เป็นเวลา 1ปี หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานกว่า 23ปี "_" แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน ก็คงจะทำให้ไม่คิดถึงมาก แต่ก็ยังแอบห่วงไม่ได้เช่นกัน

    2024.11.23 วันนี้เราก็เลยตามใจเจ้าลูกสาวซักหน่อย อยากไปไหนก็จะพาไป โดยคุณภรรยาผมบอกว่าอยากให้ไปถ่ายรูปชุดครุยกับคุณยายแต๋วที่นครนายกด้วย ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ก็ไปเที่ยวที่นครนายกเลย ซึ่งลูกสาวก็โอเค  

    โดยหลังจากที่ได้ไปรับยายแต๋วแล้ว คุณยายก็แนะนำให้ไปที่ภูตะลึง คาเฟ่ นครนายก ซึ่งก็ห่างจากบ้านคุณยายแค่ 9นาทีเศษ ด้วยการขับรถ แต่ทว่าด้วยความดังของคาเฟ่ ทำให้มีคนไปเป็นจำนวนมากมาย เลยไม่มีโต๊ะจะนั่ง จึงได้แค่เดินถ่ายรูปอยู่รอบๆ ตอนแรกก็เฝื่อว่าคนจะน้อยลง แต่ทว่ายิ่งสาย คนยิ่งเยอะมากขึ้น มีรถทัวร์เข้ามาเพิ่มอีก 2-3คัน ซึ่งก็ต้องบอกว่าจบเลยครับ ฮ่าๆๆ  

    จากนั้นลูกสาวก็บอกว่าหิวข้าวแล้ว เพราะว่าไม่ได้กินข้าวเช้ามา และตอนนั้นก็ 11โมงเศษแล้ว เลยออกจากภูตะลึงมา เพื่อมาหาไก่ย่าง ส้มตำกินข้างทาง เลยแวะที่ร้านมิตรภาพ ลาภเป็ด เพราะคุณลูกสาวอยากกิน ในระหว่างกินข้าว ก็คุยกันต่อว่าจะไปไหนกันต่อดี ซึ่งตอนนั้นก็เที่ยงเศษ อากาศกำลังร้อนเลยทีเดียว 

    คุณยายแต๋วเลยบอกว่า เดี๋ยวกินข้าวแล้ว ไปที่ Tree House coffee เดี๋ยวยายเลี้ยงกาแฟ กับขนมหวานเอง ชดเชยที่ทำให้ผิดหวังที่ภูตะลึง ที่นี่เขาเป็นรีสอร์จ แต่มีร้านกาแฟอยู่ข้างในด้วย บรรยากาศดี ต้นไม่เยอะ รับรองอากาศไม่ร้อน คุณยายอธิบายเพิ่ม


    ซึ่งดูจากแผนที่แล้วห่างจากร้านที่นั่งกินข้าวแค่ 1 นาทีเท่านั้นเอง หรือถ้าจะเดินก็แค่ 6 นาที แต่ก็คงจะเดาได้ไม่ยากใช่ไหมครับ ว่าเขาจะเลือกแบบไหน ฮ่าๆๆ  แน่นอนว่าต้องเป็น 1 นาทีอยู่แล้ว หลังจากที่อิ่มข้าวแล้ว ก็มาต่อกันที่ คาเฟ่ที่คุณยายแนะนำกัน

    ก็ต้องบอกว่าเป็น คาเฟ่สายชิลจริงๆ บรรยากาศรีสอร์จ ต้นไม้เยอะ ร่มรื่นมาก นั่งนอกร้านยังไม่ร้อนเลย ถูกใจลูกสาวคนที่ 2 อย่างมาก ขนาดชวนไปเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ รีสอร์จเลย 


    แน่นอนว่าก็ต้องไปตามที่เจ้าลูกสาวชวนอยู่แล้ว เพราะวันนี้จะเป็นวันก่อนวันสุดท้าย ก่อนที่จะต้องห่างกันไป 1ปี โดยลูกสาวบอกว่า ปีหน้าหลังจากกลับจากออสเตรเลียแล้ว มาพักที่นี่สักคืนไหม ซึ่งคนเป็นพ่อ ก็ต้องตอบว่า แน่นอนได้อยู่แล้ว จะรอ และก็คุยกันในหลายสิ่ง หลายอย่างสัพเพเหระ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต


    เราชิวกันอยู่ที่นี่เกือบ 2ชั่วโมง โดยประมาณบ่ายสองโมงก็ออกจากร้าน และไปส่งคุณยายที่บ้าน และได้ไปถ่ายรูปชุดครุย กับคุณยายต่อ จนประมาณบ่าย 3โมงเศษ ก็ลาคุณยายกลับบ้านกัน


    พรุ่งนี้ 2024.11.24 17:30 ก็จะต้องไปส่งเจ้าลูกสาวที่สนามบิน และหลังจากนั้นอีก 1ปี ถึงจะได้พบตัวเป็นๆ กันอีกครั้ง มีน้องที่ทำงานบอกว่า "คุณพ่อทำใจได้แล้วใช่ไหม น้องไป 1 ปี ให้น้องไปเติบโต ให้รากแข็งแรง..."  ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะชีวิตเป็นของเขา เราคงทำได้แค่ ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น เพราะเขาโตพอที่จะรู้ ผิด ชอบ ชั่ว ดี และรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ให้เจ้ามุ่งมั่น เติมโต ในทางเดินชีวิต ที่เจ้าได้เลือกเดิน


By: K.C.A.N