วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan

วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan 


วัดโฝวกวงซัน Fo Guang Shan ไม่ได้มานานหลายปีเลย จำได้ว่าเคยมาเมื่อตอนอาม้ายังมีชีวิตอยู่ และเคยเอามาเขียนบล๊อกเอาไว้แล้วด้วย เดี๋ยวขอย้อนกลับไปดูแป๊บนึง 


จำได้ว่าพามาไหว้เจ้าแม่กวนอิมอยู่ แต่ตอนนี้อาม้าจากไปแล้ว แต่วัดก็ยังสวยเหมือนเดิม เหมือนหลุดเข้าไปในประเทศจีนเลย... จริงๆ แล้ววัดนี้เป็นวัดจีนไต้หวัน แต่ก็มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเหมือนของประเทศจีน


ซึ่งตอนนี้ทั้งจีน และ ไต้หวัน กำลังมีข้อพิพาทย์กันอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะพิพาทย์กันทำไม ทั้งๆ ที่พูดภาษาเดียวกันแท้ๆ แค่ระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น 


ออกจากเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศดีกว่า เราคงจะช่วยเขาแก้ปัญหาไม่ได้  ขอแค่อย่ารบกันก็พอ...
กลับมาเที่ยวต่อของเราครับ  มาครั้งนี้พาลูกสาวคนโต และคุณภรรยามาเที่ยวแทน เพราะครั้งที่แล้วลูกสาวคนโตไม่ได้มาด้วย 


พอลูกสาวเห็นเท่านั้นแหละ ก็บอกว่าสวยมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะพลาดได้ในครั้งที่แล้ว และอาม่าเคยมาเที่ยวก่อนเขาแล้วด้วย...  


สิ่งที่เห็นแตกต่างจากครั้งที่แล้ว ก็น่าจะเป็นตรงฐานของเจ้าแม่กวนอิม (วิหารเจ้าแม่กวนอิม) ที่ตกแต่งข้างในอย่างสวยงาม และเปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมได้ และทางฝั่งเจดีย์ก็เหมือนกัน แต่วันนั้นทางฝั่งเจดีย์ เขาปิดปรับปรุงชั่วคราว เลยเสียดายอยู่ที่ไม่ได้เข้าไปดูข้างใน แต่ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ไปใหม่ 


ส่วนข้างล่างก็เป็นกฎระเบียบการแต่งกายของสถานที่ครับ แต่เท่าที่ดูก็น่าจะสำหรับคุณผู้หญิง ส่วนของผู้ชายไม่ได้มีบอกเอาไว้ แต่ก็น่าจะเป็นชุดสุภาพอ่ะนะ 


ส่วนพิกัดของวัด จำได้ว่าเคยปักหมุดเอาไว้ให้ในบล๊อกที่แล้ว แต่เดี๋ยวปักให้ใหม่ได้ เฝื่อว่าตำแหน่งเปลี่ยน ฮ่าๆๆ  
พิกัดของวัด  @13.8566698,100.6771218 (ตำแหน่งไม่เปลี่ยนครับ ^^)
ยังไงวันว่าง ก็พาพ่อ พาแม่ ออกไปเที่ยวได้ เดินเล่นรอบวัดซัก 1 รอบ จะได้ก้าวเดินประมาณ 3,000กว่าก้าวเลย แต่ถ้าเดินวนไปวนมาอย่างลูกสาววันนั้นก็ได้ก้าวเดินกลับมาเกือบ 6,000ก้าวเลย ฮ่าๆๆ






















แบตเตอรี่ โซเดียม และ ลิเธียม ไอออน

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ แบตเตอรี่โซเดียมไอออน และลิเธียมไอออน กัน 

ว่ามีมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างไร  รวมถึงตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเลือกใช้งาน:


1) ความหนาแน่นของพลังงาน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่า ซึ่งทำให้ดีขึ้นสำหรับการใช้งานที่ใช้พลังงานสูง เช่น ยานพาหนะไฟฟ้า

2) ค่าใช้จ่าย แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีความคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากมีโซเดียมมากกว่าลิเธียม 

3) ความปลอดภัย แบตเตอรี่โซเดียมไอออนปลอดภัยกว่าและมีโอกาสติดไฟน้อยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

4) ประสิทธิภาพอุณหภูมิ แบตเตอรี่โซเดียมไอออนทำงานได้ดีกว่าในอุณหภูมิที่สูงมาก ในขณะที่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 15–35°C

5) วงจรชีวิต แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีแนวโน้มที่จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่โซเดียมไอออน

6) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าในระหว่างการผลิต แต่สามารถปรับปรุงได้ด้วยเทคโนโลยี

7) การรีไซเคิล แบตเตอรี่โซเดียมไอออนรีไซเคิลได้ง่ายกว่าและเป็นพิษน้อยกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน

8) ห่วงโซ่อุปทาน ลิเธียมนั้นหายากและมีราคาแพง และจีนก็ควบคุมห่วงโซ่อุปทานลิเธียมทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่แบตเตอรี่โซเดียมไอออนเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้ม และบางคนบอกว่าสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี

9) ตัวย่อ/สัญลักษณ์  แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน "Li-ion", แบตเตอรี่โซเดียมไอออน "Na-ion"

10) สำหรับประเทศไทย ลิเธียมน่าจะหายาก แต่ โซเดียมมีเยอะอยู่

น่าจะพอรู้จักกับแบตฯ ลิเธียมไอออน และ โซเดียมไอออน กันมากขึ้นแล้ว การเลือกใช้งานก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่จะนำไปใช้  ยังไงบล๊อกหน้าจะหาความรู้ใหม่ๆ มาเล่าให้ฟังอีก

By: K.C.A.N

ขอบคุณข้อมูลจาก ChatGPT.

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

อีกหนึ่งวันที่ต้องจดจำของฉัน


    2024.11.24 จะเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องจดจำในชีวิต คือวันที่ที่ลูกสาวต้องเดินทางไปต่างประเทศ เป็นเวลา 1ปี หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานกว่า 23ปี "_" แต่ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน ก็คงจะทำให้ไม่คิดถึงมาก แต่ก็ยังแอบห่วงไม่ได้เช่นกัน

    2024.11.23 วันนี้เราก็เลยตามใจเจ้าลูกสาวซักหน่อย อยากไปไหนก็จะพาไป โดยคุณภรรยาผมบอกว่าอยากให้ไปถ่ายรูปชุดครุยกับคุณยายแต๋วที่นครนายกด้วย ถ้าหากว่าเป็นไปได้ ก็ไปเที่ยวที่นครนายกเลย ซึ่งลูกสาวก็โอเค  

    โดยหลังจากที่ได้ไปรับยายแต๋วแล้ว คุณยายก็แนะนำให้ไปที่ภูตะลึง คาเฟ่ นครนายก ซึ่งก็ห่างจากบ้านคุณยายแค่ 9นาทีเศษ ด้วยการขับรถ แต่ทว่าด้วยความดังของคาเฟ่ ทำให้มีคนไปเป็นจำนวนมากมาย เลยไม่มีโต๊ะจะนั่ง จึงได้แค่เดินถ่ายรูปอยู่รอบๆ ตอนแรกก็เฝื่อว่าคนจะน้อยลง แต่ทว่ายิ่งสาย คนยิ่งเยอะมากขึ้น มีรถทัวร์เข้ามาเพิ่มอีก 2-3คัน ซึ่งก็ต้องบอกว่าจบเลยครับ ฮ่าๆๆ  

    จากนั้นลูกสาวก็บอกว่าหิวข้าวแล้ว เพราะว่าไม่ได้กินข้าวเช้ามา และตอนนั้นก็ 11โมงเศษแล้ว เลยออกจากภูตะลึงมา เพื่อมาหาไก่ย่าง ส้มตำกินข้างทาง เลยแวะที่ร้านมิตรภาพ ลาภเป็ด เพราะคุณลูกสาวอยากกิน ในระหว่างกินข้าว ก็คุยกันต่อว่าจะไปไหนกันต่อดี ซึ่งตอนนั้นก็เที่ยงเศษ อากาศกำลังร้อนเลยทีเดียว 

    คุณยายแต๋วเลยบอกว่า เดี๋ยวกินข้าวแล้ว ไปที่ Tree House coffee เดี๋ยวยายเลี้ยงกาแฟ กับขนมหวานเอง ชดเชยที่ทำให้ผิดหวังที่ภูตะลึง ที่นี่เขาเป็นรีสอร์จ แต่มีร้านกาแฟอยู่ข้างในด้วย บรรยากาศดี ต้นไม่เยอะ รับรองอากาศไม่ร้อน คุณยายอธิบายเพิ่ม


    ซึ่งดูจากแผนที่แล้วห่างจากร้านที่นั่งกินข้าวแค่ 1 นาทีเท่านั้นเอง หรือถ้าจะเดินก็แค่ 6 นาที แต่ก็คงจะเดาได้ไม่ยากใช่ไหมครับ ว่าเขาจะเลือกแบบไหน ฮ่าๆๆ  แน่นอนว่าต้องเป็น 1 นาทีอยู่แล้ว หลังจากที่อิ่มข้าวแล้ว ก็มาต่อกันที่ คาเฟ่ที่คุณยายแนะนำกัน

    ก็ต้องบอกว่าเป็น คาเฟ่สายชิลจริงๆ บรรยากาศรีสอร์จ ต้นไม้เยอะ ร่มรื่นมาก นั่งนอกร้านยังไม่ร้อนเลย ถูกใจลูกสาวคนที่ 2 อย่างมาก ขนาดชวนไปเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ รีสอร์จเลย 


    แน่นอนว่าก็ต้องไปตามที่เจ้าลูกสาวชวนอยู่แล้ว เพราะวันนี้จะเป็นวันก่อนวันสุดท้าย ก่อนที่จะต้องห่างกันไป 1ปี โดยลูกสาวบอกว่า ปีหน้าหลังจากกลับจากออสเตรเลียแล้ว มาพักที่นี่สักคืนไหม ซึ่งคนเป็นพ่อ ก็ต้องตอบว่า แน่นอนได้อยู่แล้ว จะรอ และก็คุยกันในหลายสิ่ง หลายอย่างสัพเพเหระ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต


    เราชิวกันอยู่ที่นี่เกือบ 2ชั่วโมง โดยประมาณบ่ายสองโมงก็ออกจากร้าน และไปส่งคุณยายที่บ้าน และได้ไปถ่ายรูปชุดครุย กับคุณยายต่อ จนประมาณบ่าย 3โมงเศษ ก็ลาคุณยายกลับบ้านกัน


    พรุ่งนี้ 2024.11.24 17:30 ก็จะต้องไปส่งเจ้าลูกสาวที่สนามบิน และหลังจากนั้นอีก 1ปี ถึงจะได้พบตัวเป็นๆ กันอีกครั้ง มีน้องที่ทำงานบอกว่า "คุณพ่อทำใจได้แล้วใช่ไหม น้องไป 1 ปี ให้น้องไปเติบโต ให้รากแข็งแรง..."  ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะชีวิตเป็นของเขา เราคงทำได้แค่ ดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้น เพราะเขาโตพอที่จะรู้ ผิด ชอบ ชั่ว ดี และรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ให้เจ้ามุ่งมั่น เติมโต ในทางเดินชีวิต ที่เจ้าได้เลือกเดิน


By: K.C.A.N
    

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

Engine overheat protection with alarm

อุปกรณ์ปกป้องเครื่องยนต์ร้อนจัดพร้อม
ระบบแจ้งเตือน และตัดการทำงานเครื่องยนต์
Engine overheat protection with alarm 

    ระบบที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องเครื่องยนต์จากภาวะความร้อนสูงจนทำให้เครื่องน๊อก (OVERHEAT) ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น กับเครื่องยนต์ของรถท่านล่ะก็ ท่านจะเสียเงินเยอะเลยทีเดียว ตั้งแต่วางเครื่องใหม่ ไสฝาสูบ ไสเสื้อสูบ และอื่นๆ ตามแต่ความหนัก เบา ของแต่ละอาการ 

    เช่นถ้าหากว่าเครื่องยนต์ OVERHEAT จนกระทั่ง SHAFT ละลาย ลูกสูบติด แล้วละก็ การวางเครื่องใหม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่การวางเครื่องใหม่ ก็จะตามมาด้วยสารพัดปัญหาที่อาจคาดไม่ถึงได้ในอนาคต ยิ่งถ้าหากว่าเจออู่ที่ฝีมือไม่ถึงด้วย รับรองว่าปัญหาจุกจิกตามมาอีกเพียบแน่นอน



    แต่ที่แน่ๆ ถ้าหากว่าเครื่อง OVERHEAT แล้วละก็ส่วนมาก ฝาสูบจะโกงก่อนเลยครับ และถ้าหากว่าไม่ไปไสฝาสูบ เปลี่ยนประเก็นใหม่แล้วละก็ รถก็จะเริ่มกินน้ำเป็นอาหาร... คือวิ่งได้พักๆ น้ำในหม้อน้ำ/ถังพักน้ำ ก็จะหายไป ต้องคอยเติมตลอดเวลา เพราะน้ำเมื่อร้อน ก็จะระเหยกลายเป็นไอ และถ้าหากว่ามีช่อง มีรอยแยกตรงไหนของเครื่อง เจ้าไอน้ำก็จะออกมาได้ เป็นสาเหตุให้น้ำหายจากระบบได้นั่นเอง

    ดังนั้นการมีเครื่องป้องกันที่คอยเตือนเราว่า ตอนนี้เครื่องยนต์ของเรามีความร้อนสูงเกินไปแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ซึ่งส่วนมากในรถยนต์รจะมีเจ้าระบบนี้รวมมาให้อยู่แล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่ก็แค่ไฟโชว์ ความร้อนสูงเกิน แต่ไม่มีเสียง นอกจากรถไฮเอ็นด์ หรือบางรุ่น ที่มีทั้งเสียงและแสงเตือน


    แต่ที่แน่ๆ รถฟอร์ลิฟท์ (Forklift) ส่วนมากจะมีแต่แสงเป็นรูปสัญลักษณ์เล็กๆ ซึ่งคนขับส่วนมากก็จะไม่ค่อยสนใจ ยิ่งถ้าคนขับ ไม่ใช่เจ้าของรถด้วยแล้วละก็ ยิ่งไม่สนใจใหญ่ ขอแค่ให้งานเขาเสร็จก็เพียงพอแล้ว ส่วนอุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่ช่วยให้งานเสร็จ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา...

    ดังนั้นเราจึงได้ออกแบบเจ้าอุปกรณ์ปกป้องเครื่องยนต์ร้อนจัดพร้อมระบบแจ้งเตือน และตัดการทำงานเครื่องยนต์อันนี้ขึ้นมาตามประสบการณ์จริง ที่ได้ประสบกันมา โดยตัวเซ็นเซอร์จะวัดตรงจากบริเวณฝาสูบเลย และอุณหภูมิของฝาสูบคั้งเอาไว้ที่ 100องศา เซลเซียส ซึ่งไม่ควรจะเกิน 


    ถ้าหากว่าอุณหภูมิเกินกว่า 100องศา เซลเซียส ระบบจะส่งเสียงร้อง พร้อมแสงไฟสีแดงด้านบนของกล่องจะกระพริบ 
และเครื่องยนต์จะดับลงโดยอัตโนมัติ คนขับจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกว่าจะรอให้อุณหภูมิของเครื่องต่ำลงกว่า 100องศาเท่านั้น ซึ่งถ้าอุณหภูมิเครื่องต่ำกว่า 100องศา ไฟและเสียงการแจ้งเตือนจะดับลง รถถึงจะสามารถสตาร์ทเครื่องได้ใหม่

    จำหน่ายพร้อมติดตั้ง สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 

    คุณกิตติ        084 143-7045
    คุณทรงยศ    081 813-6724

By: KCAN

วิถีความสุข วิถีรถสาธารณะ รถประจำทาง รถเมล์

    เมื่อ 2 วันที่แล้วไดชาร์จของรถเสีย ทำให้ไม่สามารถชาร์จแบตฯ ได้ โดยเจ้าไฟเตือนรูปแบตฯ มันสว่างขึ้นตอนขับรถกลับบ้านจากที่ทำงาน โชคดีที่สามารถกลับมาถึงบ้านได้โดยที่รถไม่ดับกลางทาง แต่ว่ากลับมาถึงบ้านแล้ววัดไฟแบตฯ ก็เหลือแค่ 11.3 โวลท์เท่านั้น เรียกว่ารถเกือบจะดับแล้ว...


    ทำให้คิดว่าอีก 2 วันที่เหลือ ก่อนจะหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะทำยังไงดี เพราะว่าวันที่เกิดเหตุ พึ่งจะวันพุธเอง ซึ่งพฤหัส กับศุกร์ ก็ยังจำเป็นต้องไปทำงาน... บ้านก็อยู่ตั้ง รังสิต-นครนายก และที่ทำงานอยู่ เชิงสะพานอรุญอัมรินทร์ แถว รพ. ศิริราช... @"_"@ ขนาดขับรถไปเองยังใช้เวลาอย่างน้อย 1.5-2ชั่วโมงเลย

    แต่ทุกปัญหาที่ผ่านเขามาในชีวิต ย่อมมีทางออกของมันเสมอ สิ่งแรกคือต้องมีสติก่อนโดยเริ่มหาข้อมูล รถสาธารณะจากแผนที่ Google กันก่อนเลยครับ ปรากฎว่าคำแนะนำคือ ให้นั่งรถเมล์สาย 538 ไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เกาะราชวิถี จากนั้นที่ เกาะราชวิถี ให้นั่งรถเมล์สาย 509 ซึ่งเป็นต้นสาย ไปลงที่ป้ายกองเรือเล็กของกองทัพเรือ ซึ่งห่างจากที่ทำงานเพียง 100เมตรเท่านั้น เป็นทางออกที่น่าจะดีที่สุด แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3ชั่งโมงครึ่ง... แต่ว่ายังไงก็ยังดีกว่าขอลางานไปซ่อมรถแหละครับ  


    เช้าวันพฤหัส ก็ออกจากบ้านประมาณ 05:50 ซึ่งก็เป็นเวลาปกติ ที่ขับรถมา เพียงแต่วันนี้ไม่ปกติ เพราะไม่มีรถ โดยไลน์บอกเพื่อนที่ทำงานเอาไว้ว่า วันนี้จะเข้าช้าหน่อย พอดีรถมีปัญหา และต้องนั่งรถประจำทางไปทำงาน จากนั้นก็มารอรถเมล์สาย 538ที่ ฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน ใช้เวลารอประมาณ 10นาที รถเมล์ก็มาถึง เรียกได้ว่าโชคดีมาก อาจเพราะว่ายังเช้าอยู่ ประกอบกับเป็นช่วงโรงเรียนปิดเทอม (หรือเปล่า) รถเมล์เลยค่อนข้างว่าง ยังมีที่ให้เราเลือกนั่งได้ แต่ส่วนมากก็จะอยู่ด้านหลัง ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาอะไร 


    สาย 538 วิ่งมาจากทางคลอง 6 (ราชมงคล) ตามถนนรังสิต-นครนายก ไปเลี้ยวเข้า ถนนวิภาวดี รังสิต ฝั่งขาออก ตรงฝั่งตรงข้ามห้างเมเจอร์ แล้วก็ไปวนกลับรถตรงสะพานกลับรถ โลตัส (รังสิต) ก่อนจะวิ่งบนทางคู่ขนาด วิภาวดี รังสิตยาวๆ ผ่านเซียร์ รังสิต สนามธูปะเตมีย์ กองทัพอากาศ ดอนเมือง หลักสี่ แล้วขึ้น โทวล์เวย์ที่หลักสี่ มาลงแถวแยกสุทธิสารเลย แล้วก็วิ่งเข้าดินแดง เลี้ยวขวา มาทางอนุสาวรีย์ชัยฯ โดยมาถึงประมาณ 7:10นาทีเท่านั้น แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเร็วขนาดนี้ ใช้เวลาไป 1ชั่วโมง กับ 10นาที


    แล้วก็มารอรถสาย 509 ที่เกาะราชวิถีสาย 509 ขนาดขึ้นต้นสายที่อนุสาวรีย์ฯ แต่ว่า ก็ไม่มีที่นั่งนะครับ เพราะคนเยอะมาก รอต่อคิวขึ้นรถอย่างเป็นระเบียบ (เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่มาต่อคิวขึ้นรถเมล์แบบนี้) สาย 509 จะวิ่งเข้าถนนราชวิถี ผ่าน รพ. เด็ก แล้วมาเลี้ยวซ้ายแยกตึกชัยฯ ผ่าน รพ.รามา แล้วก็ไปเลี้ยวขวาเข้า ถนนศรีอยุธยา ยมราช ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ราชดำเนินนอก อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานพระปิ่นเกล้า แล้วก็ถึงจุดหมาย ประมาณ 8:20นาที ก็ไม่แย่นะครับ เวลาเข้างาน 8:30 เรียกว่ามาทันเวลาด้วย


    รวมๆ แล้วใช้เวลาไปเพียง 2ชั่วโมงครึ่งได้ ค่ารถเมล์ ก็คือ 27 + 17 = 44บาท ขากลับอีก 44บาท เรียกว่าน่าจะถูกกว่าขับรถมาเองได้อยู่นะ แถมได้ขึ้นโทวล์เวย์ด้วย ถ้าเป็นรถส่วนตัว เฉพาะแค่ค่าโทวล์เวย์ ก็ 115บาท ต่อเที่ยวแล้ว ดังนั้นการนั่งรถประจำทางก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน  ง่วงก็สามารถหลับได้ (ถ้าหากว่าได้ที่นั่งนะครับ) มีผู้คนให้ได้นั่งมอง ยืนมอง ก็มีความสุขไปอีกแบบนึง

    สรุปว่าใช้รถประจำทางอยู่ 2วันแล้ว เหมือนชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ แต่ยังไงๆ ก็ต้องเอารถไปซ่อม เพราะว่ามีภารกิจรับลูกสาวกลับบ้านด้วย เพราะเขาทำงานอยู่บริเวณทางผ่านจากที่ทำงานผมกลับบ้านพอดี เวลาที่รถคุณพ่อเสีย คนที่เดือดร้อนก็เลยกลับกลายเป็นลูกสาว และก็คุณภรรยาซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ในเรื่องนี้เลย เพราะว่าเขามีรถตู่รับ-ส่ง จากโรงงานมาแถวบ้านทุกวันอยู่แล้ว แต่เพราะว่าเข้าข้างลูก กลัวลูกลำบาก เลยเข้ากันเป็น ปี่ ขลุ่ย บังคับให้เอารถไปซ่อม...


    เมื่อรถซ่อมเสร็จ ทุกอย่างก็กลับมาเป็นวิถีปกติ แต่ก็ขอบคุณเจ้ารถที่เสีย ทำให้ได้มีประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ตลอด 2วันที่ผ่านมา และทำให้ได้รำลึกถึงความหลัง ครั้งเมื่อก่อนที่จะมีรถส่วนตัวด้วย...

By : KCAN

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2567

ประโชย์ของเบียร์เป็นเรื่องจริง

    พอดีมีเพื่อนในกลุ่มไลน์ส่งข้อความมาเรื่องเกี่ยวกับประโยช์ของเบียร์ อ่านแล้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าประโยช์มันเยอะเกินไป เลยไม่รู้ว่ามันเกินจริงไปไหม โดยข้อความที่ส่งมาก็เป็นไปตามตัวอักษรสีฟ้าข้างล่าง 



    "เบียร์ คือน้ำสมุนไพร ให้ประโยชน์ 10 อย่างแก่ร่างกาย!!
     เอ้าไหนใครสาวก “เบียร์” ยกมือขึ้น ใครว่าดื่มเบียร์_ไม่มีประโยชน์ ฟังทางนี้  “เบียร์” ไม่ใช่แค่ดื่มแล้วเมาเท่านั้น แต่...เบียร์ คือสมุนไพรสรรพคุณสูง ***ถ้าดื่มไม่เกินวันละ 2 แก้วนะ!!
    เบียร์ เป็น “น้ำสมุนไพร” ชนิดหนึ่ง เพราะมาจากการหมักธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ โดยเพาะข้าวบาร์เลย์ จนเริ่มงอก เรียกว่า “ข้าวมอลต์” เป็นแหล่งของเอนไซม์แอลฟาอะไมเลส กลิ่นและรสเบียร์ ได้จากมอลต์ และ ดอกฮ็อพ ซึ่งผ่านการสกัดด้วยความร้อนและเอนไซม์ เบียร์เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ทางด้านโภชนาการ มีสารอาหารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด เบียร์ คือน้ำสมุนไพร ให้ประโยชน์ต่อร่างกายตั้ง 10 อย่าง!!
    
ผลการวิจัยในหลายๆ สรุปได้ ดังนี้     
        1.ผลการศึกษาของนักวิจัยประเทศฟินแลนด์ พบว่า เบียร์มีส่วนทำให้ “ไต” ดีขึ้น ช่วยป้องกันโรคนิ่วในไตได้ 40%        
        2. น้ำเบียร์มีไฟเบอร์มาก ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ป้องกันท้องผูก ไฟเบอร์ในเบีนร์ ยังช่วยขับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีออกจากร่างกาย ป้องกันโรคเส้นเลือดอุดตันได้       
        3. เบียร์มี “วิตามิน B” หลายชนิด คือ B1, B2, B6 และ B12 จากการศึกษาของนักวิจัยเนเธอร์แลนด์พบว่า ผู้ดื่มเบียร์มีระดับวิตามิน B6 สูงกว่ากว่า 30% ของผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์ วิตามินบี 12 ในเบียร์เป็นปัจจัยหลักในการป้องกันโรคโลหิตจางที่ไม่พบในอาหารหลายชนิด       
        4. เบียร์มีระดับซิลิกอนมาก ทำให้มีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้ เพราะเป็นสารที่ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น       
        5. เบียร์ถือเป็นยารักษาโรคนอนไม่หลับได้ดี เพราะมีเอนไซน์แลกเตส และ กรดไนอาซิน ส่งเสริมการนอนหลับได้ดี       
        6. เบียร์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายได้ 40 - 60% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์       
        7. เบียร์ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมได้มากกว่าผู้ไม่ได้ดื่มเบียร์       
        8. เบียร์มีส่วนช่วยให้ผิวเนียนสวยขึ้นได้ด้วย ผู้หญิงที่ชอบดื่มเบียร์มักมีผิวสวย       
        9. เบียร์มีส่วนช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ทำให้เจริญอาหารและส่งผลดีต่อจิตใจ       
        10. การดื่มเบียร์ช่วยป้องกันโรคเครียดได้เป็นอย่างดี 
เบียร์ คือน้ำสมุนไพร ให้ประโยชน์ตั้ง 10 อย่างต่อร่างกาย!!

    ข้อควรระวัง!!!
    เบียร์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปกติมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 4-6% การดื่มในปริมาณมากอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ 
    เพราะฉะนั้น ควรดื่มในปริมาณที่พอดี ดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้ว คุณจะได้ดื่มเบียร์แบบมีประโยชน์จริงๆ       
ข้อมูลจาก ชีวอโรคยา www.facebook.com/pages/ชีวอโรคยา/135957369811772 "

    จากข้อความข้างต้น เลยต้องขอไปคอนเฟิร์มข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองก่อนว่าจริงทั้งหมดหรือเปล่า โดยคอนเฟิร์มกับเว็บ AI ทั้งหลาย ทั้ง ChatGPT, Gemini, และอื่นๆ
ปรากฎว่าเป็นจริงอย่างส่งมาทุกข้อ ไม่น่าเชื่อจริงๆ  แต่มีข้อแม้คือดื่มไม่เกินวันละ 2แก้วนะครับ  อันนี้ก็ได้สอบถามกับ AI มาเหมือนกัน ว่าแก้วขนาดเท่าไหน... เพราะกลัวบางคนจะเป็นแบบศรีธนญชัย เอาแก้วแบบ 2ลิตร มาใช้ แล้วบอกว่าไม่เกิน 2แก้ว ฮ่าๆๆๆ
    จากการสอบถาม AI (ChatGPT) ข้อมูลที่ได้มาคือ 
        ผู้ชายสามารถดื่มได้ 2แก้วต่อวันจริง โดยปริมาณต่อแก้วคือ 355มล. หรือ 12ออนซ์  ของเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 5%
        แต่ผู้หญิง ดื่มได้เพียง 1แก้วต่อวัน โดยปริมาณ ต่อแก้วคือ 355มล.  หรือ 12ออนซ์  ของเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 5% เช่นกัน
        ส่วนเหตุผลว่าทำไม ผู้ชายถึงดื่มได้มากกว่าผู้หญิงนั้น  ทาง AI ตอบว่ามันเกี่ยวกับความแตกต่างทางชีววิทยา เพราะ
    1) ผู้หญิงมีไขมันในร่างกายมากกว่าผู้ชาย และไขมันไม่ดูดซึมแอลกอฮอล์ ทำให้แอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้มากกว่าผู้ชาย
    2) น้ำหนักตัว ผู้หญิงโดยเฉลี่ยจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าผู้ชาย ซึ่งส่งผลให้ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เข้าสู่กระแสเลือดมีความเข้มข้นมากกว่าผู้ชาย
    3) เอนไซม์ย่อยสลายแอลกอฮอล์ (ADH) ซึ่งทำหน้าที่ในการย่อยสลายแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร ของผู้หญิงมีน้อยกว่าของผู้ชาย ดังนั้นเมื่อย่อยได้น้อยกว่า ก็แสดงว่าแอลกอฮอล์สามารถดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้มากกว่านั่นเอง...


รู้แบบนี้แล้วก็ควรจะดื่มเบียร์เพื่อให้เกิดประโยช์กับร่างกายจะดีกว่า การดื่มแบบหัวราน้ำนะครับ เพราะเบียร์อาจจะเปลี่ยนจากคุณกลายเป็นโทษได้...

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

สวิทช์รีโมท อุปกรณ์สำหรับคนขี้เกียจ

บล๊อกนี้จะมาแนะนำอุปกรณ์เสริมสำหรับคนขี้เกียจแบบเรา ให้ได้รู้จักกัน ฮ่าๆๆๆ

    สืบเนื่องจากปัญหาเล็กๆ ที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านอื่นๆ จะเป็นเหมือนเราหรือเปล่านะครับ ปัญหาเล็กๆ ที่ว่าก็คือการเกี่ยงกันไปปิดไฟในห้องนอนเวลาจะนอน แล้วก็ทำให้นอนไม่หลับ...  ปัญหาเล็กๆ ที่ทำให้เสียสุขภาพจิต และสุขภาพกาย

"เธออย่าพึ่งหลับ ลุกไปปิดไฟก่อน..." ทั้งๆ ที่กำลังเคลิมๆ จะหลับ ต้องสะดุงตื่น  

เคยกันไหมครับฮ่าๆๆ 

    ในฐานะวิศวไฟฟ้า เลยคิดว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร หลังจากที่ต้องทนอยู่หลายปี ฮ่าๆๆ แรกๆ ก็คิดว่าจะทำเป็นสวิทช์ 2ทาง หรือสวิทช์บันได คือจะเปิด หรือจะปิดฝั่งไหนก็ได้ สวิทช์ตัวแรกติดอยู่ตรงประตูทางเข้า สวิทช์ตัวที่สอง ติดอยู่แถวๆ หัวเตียง  แต่ก็บอกตรงๆ เลยครับว่าขี้เกียจเดินสายไฟใหม่ ฮ่าๆๆ 

    จากนั้นก็คิดจะใช้ระบบสวิทช์ WiFi โดยดูจากเว็บขายของต่างๆ ก็ดูดีนะจะได้ไม่ต้องลุกไปปิดไฟ แต่ว่าปัญหาคือคนที่ใช้ให้ผมไปปืดไฟในทุกคืน เขาจะยอมโหลดแอป เข้าไปในมือถือเขาหรือเปล่า และสัญญาณ Wifi ในห้องนอนผมเองก็ไม่ค่อยจะเสถียร ถามปิดไม่ได้ก็คงจะต้องเรียกผมไปปิดอยู่ดี ฮ่าๆๆ

    และปัญหาก็ยังค้างอยู่ในหัวตลอดเวลา และอยู่มาวันหนึ่งได้พบกับสวิทช์รีโมท เข้าโดยบังเอิญ ซึ่งรู้สึกว่าน่าจะตอบโจทย์ที่สุด เพราะไม่ต้องเดินสายไฟ ไม่ต้องโหลด App ใดๆ และไม่ต้องห่วงเรื่องสัญญาณ Wifi ไม่เสถียรด้วย 


    หลังจากที่ได้ศึกษาดูข้อมูลแล้วก็ต้องลองสั่งมาใช้ดูซักหน่อย ในราคาที่สมเหตุ สมผล คือต้องถูกกว่าการเดินสายไฟใหม่ ซิ้อสวิทช์ 2ทาง 2ตัว และ/หรือ ซื้อตัวสวิทช์ Wifi รวมถึงตัวขยายสัญญาณ Wifi ใหม่ด้วย...

    โดยราคาสวิทช์รวมรีโมท ประมาณร้อยกว่าบาท รวมค่าส่งแล้วอยู่ในงบไม่เกิน 150บาท ก็ถือว่าโอเค ในความคิดผมนะ เพราะวิธีอื่นๆ น่าจะต้องลงทุนแพงกว่านี้แน่ 


    เมื่อของมาส่ง ก็พอดีเป็นวันเสาร์ ซึ่งก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี เราก็เริ่มลงมือติดตั้งกันเลย โดยขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้  

    1) ทำการจับคู่รีโมทกับตัวสวิทช์ก่อนครับ ก็ทำตามในคลิปที่เขาสอนซี่งไม่ยากเลย แต่ต้องต่อไฟเลี้ยงเข้าไปที่ตัวสวิทช์ก่อนนะครับ ถึงจะสอนเจ้าตัวสวิทช์ให้จับคู่กับรีโมทได้ 

    2) นำไปต่อเข้ากับเจ้าหลอดไฟที่ห้องนอน ซึ่งก็ไม่ยากสำหรับคนที่มีความรู้ทางด้านไฟฟ้านะครับ  แต่สำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านไฟฟ้า ก็อย่าเสี่ยงดีกว่าอาจถูกไฟดูด หรือต่อผิด ไฟอาจช๊อตได้ 


    3) จากนก็เรียกคนที่ชอบใช้ให้เราไปปิดไฟ   ให้มาดู และทำการ Training เขานิดหน่อย

    4) และสุดท้ายก็มอบรีโมท ให้กับเขาไปครอบครอง เพื่อจะบอกเป็นทางลับว่า งานๆ นี้เป็นของเธอแล้วนะ ฮิๆๆ 



   เพียงเท่านี้ชีวิตเราก็มีความสุขเพิ่มขึ้น  ฮ่าๆๆ สมกับที่เป็นอุปกรณ์สำหรับคนชี้เกียจอย่างเราจริงๆ ตั้งแต่ขี้เกียจเดินไปปิดไฟนอน, ขี้เกียจเดินสายไฟ, ขี้เกียจขยายสัญญาณ Wifi ในบ้าน และอีกหลายๆ ความขี้เกียจครับ 

    สุดท้ายหน้าที่ ปิด/เปิดไฟในห้องนอนก็ตกไปเป็นของคนที่ชอบใช้เราไปโดยปริยาย... ฮ่าๆๆ แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้หญิงที่เรารักมากที่สุด และการทำให้ผู้หญิงที่เรารักมีความสุข ก็เป็นหน้าที่ของเราด้วยจริงไหมครับ ^^

เอาไว้มีอะไรขี้เกียจๆ อีกจะมาแบ่งปันและเล่าให้ฟังใหม่นะครับ


By: K.C.A.N

ลิงค์สำหรับร้านที่ได้สั่งซื้อ :  https://s.shopee.co.th/1LNAvjVpIl




วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2567

Acinetobacter baumannii (Continue III)


Acinetobacter baumannii is a challenging and often multidrug-resistant bacterium. There are no specific foods that can directly "kill" this bacterium, but certain foods and dietary habits may support the immune system and potentially aid in recovery during an infection. Here's what to consider:

Foods That Support the Immune System:

  1. Garlic: Contains allicin, which has antimicrobial properties.
  2. Ginger: Known for its anti-inflammatory and antioxidant effects.
  3. Probiotic-rich foods: Such as yogurt, kefir, and sauerkraut. These can support gut health and the immune system.
  4. Vitamin C-rich foods: Oranges, strawberries, and broccoli can help boost immunity.
  5. Turmeric: Contains curcumin, which has potent anti-inflammatory and antibacterial properties.
  6. Honey: Particularly Manuka honey, has been noted for its antibacterial properties.
  7. Green tea: Contains polyphenols that may help in fighting infections.
  8. Oregano oil: Known for its antimicrobial properties.

Medical Treatment is Key

Food alone cannot eliminate A. baumannii. Antibiotics (if effective for the strain) and hospital interventions like wound cleaning or ventilator care are crucial.
It's best to consult a healthcare provider for any infection. Do you want more tips on supporting immune health or details about medical treatments?


อาหารที่สามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันอาจช่วยร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ Acinetobacter baumannii ได้ แต่ไม่มีอาหารที่สามารถ "ฆ่า" เชื้อแบคทีเรียนี้ได้โดยตรง การรักษาทางการแพทย์และยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ค่ะ

อาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน:

  1. กระเทียม: มีสารอัลลิซิน (Allicin) ที่มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ
  2. ขิง: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  3. อาหารที่มีโปรไบโอติก: เช่น โยเกิร์ต กิมจิ และเคเฟอร์ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และภูมิคุ้มกัน
  4. อาหารที่มีวิตามินซี: เช่น ส้ม สตรอเบอร์รี่ และบร็อคโคลี่ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. ขมิ้น: มีสารเคอร์คูมิน (Curcumin) ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรีย
  6. น้ำผึ้ง: โดยเฉพาะน้ำผึ้งมานูก้า ที่มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย
  7. ชาเขียว: มีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ
  8. น้ำมันออริกาโน่: มีคุณสมบัติต้านจุลชีพ

การรักษาทางการแพทย์สำคัญที่สุด

อาหารเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัด A. baumannii ได้ การใช้ยาปฏิชีวนะและการรักษาอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก


แหล่งที่มาของข้อมูล : ChatGPT

อนุโมทนาบุญให้ อาม้าเพ็กเตียง แซ่โค้ว

By: KCAN


วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

Acinetobacter baumannii (Continue II)

อีกหนึ่งแนวความคิดที่จะจัดการกับเจ้าแบคทีเรีย Acinetobacter baumannii ก็คือการใช้แบคทีเรียฆ่าแบคทีเรียนั่นเอง จากคำตอบของ ChatGPT ทำให้ทราบว่ามีความเป็นไปได้และก็มีการทดลองกันอยู่


Several types of bacteria produce substances or have properties that can target and kill *Acinetobacter baumannii*, a multidrug-resistant pathogen. Here are some examples:

1. **Probiotic Bacteria**: Some probiotic strains, like Lactobacillus and *Bifidobacterium*, can produce antimicrobial compounds, such as bacteriocins, which may inhibit *A. baumannii*.

2. **Phage Therapy**: Bacteriophages, viruses that infect bacteria, can specifically target and kill *A. baumannii*. Phages are currently being studied as a therapeutic option, especially against multidrug-resistant strains.

3. **Bacillus Species**: Some strains of Bacillus bacteria produce antimicrobial compounds like lipopeptides (e.g., surfactin, fengycin) that have activity against *A. baumannii*.

4. **Competition from Other Bacteria**: In the microbiome, certain bacteria can outcompete A. baumannii for resources, making it harder for the pathogen to thrive. 

These approaches are being explored in the fight against antibiotic-resistant A. baumannii infections.


 แบคทีเรียที่สามารถฆ่า Acinetobacter baumannii ได้มีหลายชนิด เช่น
1. **แบคทีเรียโพรไบโอติก**: แบคทีเรียโพรไบโอติกบางสายพันธุ์ เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium สามารถผลิตสารต้านจุลชีพ เช่น bacteriocins ที่อาจยับยั้งการเจริญเติบโตของ A. baumannii ได้

2. **การใช้ฟาจ (Phage Therapy)**: แบคทีริโอฟาจเป็นไวรัสที่สามารถเจาะจงและทำลายแบคทีเรียอย่าง A. baumannii ได้ ฟาจกำลังถูกศึกษาว่าเป็นวิธีการรักษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เชื้อดื้อยาหลายขนาน

3. **สายพันธุ์แบคทีเรีย Bacillus**: แบคทีเรียบางสายพันธุ์ในกลุ่ม Bacillus ผลิตสารต้านจุลชีพ เช่น lipopeptides (เช่น surfactin, fengycin) ที่สามารถจัดการกับ A. baumannii ได้

4. **การแข่งขันจากแบคทีเรียชนิดอื่น**: ในระบบจุลินทรีย์ในร่างกาย แบคทีเรียชนิดอื่น ๆ สามารถแข่งขันกับ A. baumannii ในการใช้ทรัพยากร ทำให้เชื้อไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี
แนวทางเหล่านี้กำลังถูกศึกษาเพื่อใช้ต่อสู้กับการติดเชื้อที่เกิดจาก A. baumannii ที่ดื้อยา

แหล่งที่มาของข้อมูล : ChatGPT

อนุโมทนาบุญให้ อาม้าเพ็กเตียง แซ่โค้ว

By: KCAN

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2567

Acinetobacter baumannii (Continue)

การใช้แอนติบอดีจากผู้อื่นเพื่อรักษาการติดเชื้อ Acinetobacter baumannii เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟ ซึ่งหมายถึงการถ่ายโอนแอนติบอดีจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งเพื่อช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ วิธีนี้สามารถทำได้ในรูปแบบของ พลาสม่าฟื้นตัว (convalescent plasma) หรือ แอนติบอดีโมโนโคลนอล (monoclonal antibodies)

พลาสม่าฟื้นตัว:

พลาสม่าฟื้นตัวคือพลาสม่าจากเลือดที่เก็บมาจากบุคคลที่หายจากการติดเชื้อและพัฒนาแอนติบอดีต่อเชื้อโรคนั้น ๆ พลาสม่านี้จะถูกถ่ายโอนให้ผู้ป่วยที่กำลังต่อสู้กับการติดเชื้อเพื่อเพิ่มการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ในทฤษฎีวิธีนี้สามารถนำมาใช้กับการติดเชื้อ A. baumannii หากบุคคลนั้นมีแอนติบอดีที่แข็งแกร่งต่อแบคทีเรีย อย่างไรก็ตามวิธีนี้นิยมใช้ในการรักษาการติดเชื้อไวรัส เช่น COVID-19 และยังไม่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น A. baumannii

แอนติบอดีโมโนโคลนอล:

แอนติบอดีโมโนโคลนอล (mAbs) เป็นโมเลกุลที่ผลิตในห้องปฏิบัติการซึ่งเลียนแบบความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับเชื้อโรค นักวิจัยกำลังสำรวจการพัฒนาแอนติบอดีโมโนโคลนอลที่มีเป้าหมายเฉพาะ A. baumannii แอนติบอดีเหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อทำให้แบคทีเรียหมดฤทธิ์หรือตอบสนองระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น แม้ว่าจะยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่วิธีการนี้มีแนวโน้มที่จะช่วยรักษาแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ

ความท้าทาย:

  • การดื้อยาปฏิชีวนะ: หนึ่งในเหตุผลที่การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันแบบพาสซีฟถูกสำรวจคือ A. baumannii มักดื้อต่อยาปฏิชีวนะแบบดั้งเดิม แต่การใช้แอนติบอดีอาจเลี่ยงปัญหาการดื้อนี้ได้
  • ความพร้อมใช้งาน: การหาผู้ที่มีแอนติบอดีต่อ A. baumannii โดยเฉพาะอาจเป็นเรื่องยาก
  • ประสิทธิภาพ: ความสำเร็จของการรักษานี้ขึ้นอยู่กับความแรงของแอนติบอดี, ช่วงเวลาที่ได้รับการรักษา, และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

วิธีการทำงานของ Antibody Therapy :

  • แอนติบอดี: เป็นโปรตีนที่ระบบภูมิคถ้มกันสร้างขึ้นเพื่อจดจำแลทำลายเชื้อโรค เช่นแบคทีเรีย และไวรัส 
  • Passive immunotherapy: คือการให้แอนติบอดีโดยตรงกับผู้ป่วย แทนที่จะรอให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างแอนตี้บอดี้เองเมื่อเกิดการติดเชื้อ แอนติบอดีเหล่านี้ อาจได้มาจาก เลือดของผู้ที่หายจากการติดเชื้อ (เช่น convalescent plasma) หรือถูกสร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ
การใช้ในกรณีของการติดเชื้อ Acinetobacter baumannii:
  • Acinetobacter baumannii: เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีความอันตรายเนื่องจากมันสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะหลายชนิดได้ ทำให้นักวิจัยต้องค้นหาวิธีการรักษาอื่นๆ รวมถึงการใช้แอนติบอดี้
  • Monoclonal antibodies (แอนติบอดี้ที่ผลิตในห้องปฎิบัติการ เพื่อเจาะจงเป้าหมายบางส่วนของแบคทีเรีย) กำลังถูกพัฒนาเพื่อเป้าหมายเฉพาะเจาะจงกับ Acinetobacter baumannii แอนติบอดี เหล่านี้สามารถจับกับแบคทีเรียเพื่อทำลายหรือทำให้สารพิษที่แบคทีเรียผลิตขึ้นไม่ทำงาน 
  • Convalescent plasma therapy ซึ่งใช้พลาสม่าที่มีแอนติบอดีจากผู้ที่หายจากการติดเชื้อแล้ว มาให้กับผู้ป่วย ก็เป็นแนวที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษา แต่ยังพบการใช้มากกว่าในกรณีของการติดเชื้อไวรัส เช่น COVID-19
สถานะปัจจุบัน
  • ในปัจจุบันการรักษาด้วยแอนติบอดีสำหรับ Acinetobacter baumannii ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและการทดลองมีการศึกษาก่อนคลีนิก และการทดลองทางคลีนิกในระยะเริ่มต้น แต่ว่ายังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม ก่อนที่จะสามารถนำมาใช้ทั่วไปได้
  • ในกรณีที่แบคทีเรียต้านทานยาปฎิชีวนะ อย่างรุนแรง การรักษาด้วยแอนติบอดีอาจถูกใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น การใช้ยาปฎิชีวนะ หรือ phage therapy เพื่อปรับปรุงผลการรักษา
แนวทางการวิจัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฎิชีวนะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการรักษาด้วยแอนติบอดีอาจกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อในอนาคต เช่นการติดเชื้อที่เกิดจาก Acinetobacter baumannii

สรุปแล้ว แม้จะเป็นไปได้ในทางทฤษฎี แต่การใช้แอนติบอดีจากผู้อื่นเพื่อรักษาการติดเชื้อ Acinetobacter baumannii ยังไม่ใช่การรักษาหลักหรือสามารถใช้อย่างแพร่หลายได้ในปัจจุบัน แต่เป็นแนวทางการวิจัยที่กำลังพัฒนาอยู่

แหล่งที่มาของข้อมูล : ChatGPT

อนุโมทนาบุญให้ อาม้าเพ็กเตียง แซ่โค้ว

By: KCAN

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567

Acinetobacter baumannii

แบคทีเรีย  Acinetobacter baumannii: ทำให้ฉันต้องเสียคุณแม่อันเป็นที่รักไป เมื่อ 21/08/2024 ที่ผ่านมา ฉันจะจำชื่อของเจ้าเอาไว้ และจะล้างแค้นให้คุณแม่ซักวัน...


Acinetobacter baumannii
: เชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่สามารถต้านทานยาปฏิชีวนะหลายกลุ่ม เช่น Carbapenems, Cephalosporins และ Fluoroquinolones ทำให้การรักษาเชื้อชนิดนี้ทำได้ยาก

Acinetobacter baumannii เป็นแบคทีเรียแกรมลบชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการดื้อยาปฏิชีวนะหลายชนิด ทำให้กลายเป็นปัญหาสำคัญในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU)

คุณสมบัติและการแพร่กระจาย

  • ทนต่อสิ่งแวดล้อม: A. baumannii สามารถอยู่รอดบนพื้นผิวที่ไม่มีชีวิตได้นาน ตั้งแต่ 3 วันไปจนถึง 5 เดือน ทำให้มันมีโอกาสแพร่กระจายได้ง่ายในโรงพยาบาล
  • แหล่งติดเชื้อ: มักพบการติดเชื้อในผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ การใส่สายสวนปัสสาวะ หรือการทำหัตถการอื่น ๆ ที่ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อ
  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด (Bacteremia), การติดเชื้อที่ปอด (Pneumonia), การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (UTI) และการติดเชื้อที่บาดแผล (Wound Infection)

การดื้อยาปฏิชีวนะ

A. baumannii เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเชื้อแบคทีเรียที่มีการพัฒนาความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะหลากหลายชนิด รวมถึง:

  • Carbapenems: ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่มักใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษาเชื้อดื้อยา แต่เชื้อ A. baumannii บางสายพันธุ์ก็สามารถดื้อยานี้ได้
  • Cephalosporins รุ่นที่ 3 และ 4
  • Fluoroquinolones

การป้องกันและควบคุม

  • การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสม: การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรอบคอบและตามแนวทางการรักษาเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดโอกาสการเกิดเชื้อดื้อยา
  • การรักษาความสะอาด: การทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ A. baumannii
  • การควบคุมการติดเชื้อ: การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการติดเชื้อ เช่น การล้างมืออย่างเคร่งครัด การแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อ A. baumannii ออกจากผู้ป่วยอื่น ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

A. baumannii ถือเป็นหนึ่งในเชื้อแบคทีเรียที่มีความท้าทายต่อระบบสาธารณสุขและต้องการการดูแลและการจัดการที่รอบคอบ

Acinetobacter baumannii คืออะไร?

Acinetobacter baumannii เป็นแบคทีเรียแกรมลบรูปแท่งและอยู่ในกลุ่มของเชื้อก่อโรค 4MRGN (แบคทีเรียแกรมลบที่ดื้อยาหลายชนิด) เชื้อก่อโรคในโรงพยาบาลรุ่นใหม่นี้ค่อนข้างดื้อต่อยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ 4 กลุ่ม (เพนนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน ฟลูออโรควิโนโลน และคาร์บาพีเนม) จึงกลายเป็นหัวข้อการวิจัยในปัจจุบัน Acinetobacter baumannii มีอยู่ทั่วโลก แบคทีเรียชนิดนี้มักไม่เป็นอันตรายต่อคนที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อโรคสามารถทำให้เกิดปอดบวมรุนแรง แผล และติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งอาจถึงแก่ชีวิตได้ ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อนถึงอบอุ่นและแห้งแล้ง แบคทีเรียชนิดนี้เป็นหนึ่งในเชื้อก่อโรคที่เกี่ยวข้องมากที่สุดที่พบในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนัก เชื้อแบคทีเรีย Acinetobacter spp มีอยู่หลายชนิดในยุโรป โดยพบมากในจำนวน 3.6% และมักทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง


เชื้อ Acinetobacter baumannii แพร่กระจายได้อย่างไร

เชื้อแบคทีเรียนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงและโดยอ้อม (มือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือเครื่องมือ) และผ่านน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน การติดเชื้อยังเกิดขึ้นได้ผ่านอากาศในห้อง เชื้อโรคไม่ไวต่ออิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เชื้อโรคจึงสามารถแพร่เชื้อได้เป็นเวลานาน เช่น บนแป้นพิมพ์ของอุปกรณ์ทางการแพทย์ โทรศัพท์ในห้องผู้ป่วย หรือบนโคมไฟ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับความเสี่ยงของการติดเชื้อภายนอกโรงพยาบาลหรือจากสภาพแวดล้อมของสัตว์


อาการของโรคมีอะไรบ้าง

การติดเชื้อเชื้อ Acinetobacter baumannii ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ แผล และทางเดินหายใจ รวมถึงปอดบวมและภาวะติดเชื้อในโรงพยาบาล การติดเชื้อเนื้อเยื่ออ่อนและเยื่อหุ้มสมองอักเสบก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน Acinetobacter เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อแบคทีเรียประมาณ 9% ในหน่วยดูแลผู้ป่วยหนักทั่วโลก โดยอัตราส่วนนี้สูงที่สุดในเอเชียและยุโรปตะวันออก (17-19%) และต่ำที่สุดในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ (4-6%)


ความสำคัญต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลและผู้ป่วยนอก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Acinetobacter baumannii ได้พัฒนาเป็น "เชื้อโรคที่เป็นปัญหา" การที่แบคทีเรียชนิดนี้มักไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะทั่วไปนั้นน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแบคทีเรียชนิดนี้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ 4 กลุ่ม จึงจัดอยู่ในกลุ่ม 4MRGN (เชื้อก่อโรคแกรมลบดื้อยาหลายชนิด) นอกจากนี้ยังดื้อต่ออะซิลูเรโดเพนิซิลลิน เซฟาโลสปอรินรุ่นที่สามและสี่ ฟลูออโรควิโนโลน และคาร์บาพีเนมอีกด้วย


ตอนนี้ขอรวบรวมข้อมูลของเจ้า Acinetobacter baumannii เอาไว้ก่อน

https://www.uptodate.com/contents/acinetobacter-infection-treatment-and-prevention/print

https://chatgpt.com/c/6c9316f3-1692-4f4b-88f9-cf4b3086d1b8

https://prevent-and-protect.com/pathogen/acinetobacter-baumannii/

อนุโมทนาบุญให้ อาม้าเพ็กเตียง แซ่โค้ว

แนวความคิดฆ่าแบคทีเรีย (Continue 1)

แนวความคิดฆ่าแบคทีเรีย (Continue 2)

อาหารเสริมภูมิคุ้มกันให้กับผู้ป่วย

By: KCAN

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

Automated External Defibrillators (AED)

เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED.) คืออะไร ?

AED มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า  Automated External Defibrillators หรือแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวเลย ก็คือ "เครื่องกระตุกหัวใจภายนอกแบบอัตโนมัติ"

แล้วเครื่อง AED มีเอาไว้ทำไม ?

AED มีเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันเกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้นหัวใจให้เต้นตามจังหวะปกติ หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะหัวใจเต้นพลิ้ว

เมื่อหัวใจหยุดเต้น เลือดที่เคยไหลเวียนในร่างกายเราก็จะหยุดไปด้วย ดังนั้นอวัยวะต่างๆ ที่เลือดของเรานำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ก็จะไม่ได้รับออกซิเจน และก็จะเริ่มตายลง โดยเฉพาะอวัยวะที่เรียกว่าสมอง เพราะถ้าหากว่าสมองขาดเลือดหรือขาดออกซิเจนไปเลี้ยง ประมาณ 4นาที เนื้อสมองก็จะเริ่มตาย นั่นหมายถึงผู้ป่วยจะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูงมาก

การทำ CPR อาจช่วยทำให้เลือดยังคงไหลเวียนเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ แต่อาจไม่ช่วยให้ไฟฟ้าหัวใจกลับมาเต้นตามจังหวะที่ถูกต้องได้ ดังนั้นเครื่อง AED จะเข้ามาช่วยทำหน้าที่นี้

เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้ายี่ห้อ Mindray รุ่น BeneHeart C ซีรีย์ เป็นเครื่องกระตุ้นหัวใจที่ให้พลังงานสูงสุดถึง 360J (จูล) แบบ Biphasic (360BTe) ซึ่งไม่ว่าผู้ป่วยจะมีมวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่น และมีความต้านทานทางไฟฟ้าที่สูง แต่ด้วยพลังงานที่ปล่อยออกมาจากเครื่อง AED ของ Mindray ก็สามารถที่จะเข้าไปกระตุ้นหัวใจได้อย่างง่ายดาย ทำให้หัวใจกลับมาเต้นตามจังหวะไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง

นอกจากนั้นเครื่องยังถูกออกแบบมาให้สาธารณะชน หรือบุคคลทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยง่ายด้วยการฟัง และทำตามคำสั่งที่เครื่องแจ้งออกมาเป็นประโยค ซึ่งก็มีภาษาให้เลือกได้มากถึง 3ภาษาด้วยกัน ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาทางเลือกอื่นๆ ทั้งในรุ่น C1A, และรุ่น C2 

รวมถึงแสดงเป็นภาพแอนนิเมชั่นประกอบคำสั่งผ่านจอแสดงผลขนาด 7นิ้ว ในรุ่น C2 เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนมากยิ่งขึ้น

สำหรับท่านที่สนใจ ในเครื่อง AED ทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวข้างต้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ผู้แทนขาย 

บริษัท บางกอกยูนิเทรด จำกัด หมายเลขโทรศัพท์ : 02 322 8500-10 

นายกิตติ คงมานะชาญ : 084 143-7045, 

อีเมล์ : kitti@bucmedical.com