วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2565

มามะ... มหาสารคาม

มามะ... มหาสารคาม

อีกหนึ่งปีใหม่ที่ไปจังหวัดบ้านเกิดคุณภรรยา มหาสารคาม โดยปีนี้มีผมกับภรรยาไปกันแค่ 2คน ด้วยคุณแม่ผมก็อายุมากแล้ว เดินเหินไม่สะดวกและลูกๆ ก็ไม่อยากไปแล้ว เพราะไปมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนด้วยนอกจากบ้าน วัด และบ้านเพื่อนแม่...

ซึ่งปีนี้ก็เป็นเช่นเดิมเหมือนทุกปี แต่ปีนี้มีสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ ภรรยาผมได้ไปโอนโฉนดที่ดิน 1.5ไร่มาเป็นทรัพย์สินของตัวเอง หลังจากที่เพียรพยายามอยู่นาน โดยปีนี้ภรรยาผมเขาหยุดตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. ซึ่งเขาก็ได้ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน เพื่อดำเนินกิจกรรมการโอนโฉนดที่ดินนี้ 

ผมออกเดินทางช่วงบ่ายๆ ของวันที่ 30 ธ.ค หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการทำงานในวันสุดท้าย โดยออกเดินทางจากแถวๆ เกษตร-นวมินทร์ ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ก็เหมือนเดิมรถติดเป็นช่วงช่วงช่วง กับ หลินฮุ้ย เลย 555 ตั้งแต่ตอนออกจากมอเตอร์เวย์ ไปยังสระบุรี จากสระบุรี ก็จะไปติดแถวๆ ทางขึ้นเขา มวกเหล็ก กลางดง แล้วก็โคราช ไปถึงที่มหาสารคามก็สามทุ่มกว่าๆ สี่ทุ่ม เรียกว่าทั้งเมืองเริ่มเงียบแล้ว ทางราชกาลก็ประดับไฟตามถนนหนทาง ก็สวยดีเลยจอดรถถ่ายรูปซักหน่อย จากนั้นก็ขับรถไปหาคุณภรรยาที่บ้านเพื่อนตามที่นัดเอาไว้

เช้าวันที่ 31 ก็ไปสวัสดีพ่อกับแม่ คุณตากับคุณยายคุณภรรยาที่วัดอภิสิทธิ์ แล้วก็เก็บภาพพระมหาธาตุที่วัดเป็นที่ระลึกเอาไว้ จากนั้นก็ไปดูที่ที่ซื้อเอาไว้กับคุณภรรยา แล้วก็ไปเยี่ยมเพื่อนคุณภรรยา ที่เสียลูกสาวในวัย 21ปีไป เพราะโรคมะเร็งลำไส้ ชื่อคุณเบิร์ดเป็นนายดาบตำรวจอยู่ที่อำเภอเมืองมหาสารคาม ซึ่งเป็นช่วงโควิดทำให้ไม่ได้ไปร่วมงานศพ เลยต้องไปแสดงความเสียใจ ก้ได้นั่งคุยกัน คุณเบิร์ดก็เล่าว่าลูกสาวปวดท้องมานาน ก็พาไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ก็บอกว่าน่าจะเป็นโรคกระเพาะ ให้ยารักษาโรคกระเพาะมากิน แต่เป็นหลายเดือนก็ไม่หาย และชักหนักขึ้นเรื่อยๆ เลยพาไปอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาลจังหวัด ปรากฎว่าถึงกับช๊อก เพราะหมอบอกว่าเ็นมะเร็งที่ลำไส้ ระยะสุดท้ายแล้ว เรียกว่ามันตันไปหมดแล้ว และระยะก็ยาวมากเกือยเท่ากับลำไส้ แถมลามออกมาที่ตับแล้วรักษาไม่ได้แล้ว พูดไปบางครั้งก็เหมือนจะเสียงสั่นๆ  เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องสัพเพเหระของงานตำรวจแทน

จากนั้นก็ออกไปร่วมงานศพของพ่อเพื่อนภรรยาอีกคนที่เป็น ผอ. ของโรงเรียน โดยคุณพ่ออายุ 78 เสียชีวิตเพราะติดเชื้อทางเดินหายใจ แต่ไม่ใช่โควิด-19 เรียกว่าเป็นงานเศร้าส่งท้ายปลายปี วันนั้นเป็นงานเผาศพคุณพ่อตอนบ่ายสามโมง 

เมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ก็แวะไปเยี่ยมเพื่อนเดลต้าที่บ้าน โดยเพื่อนเดล ก็เป็นอีกหนึ่งในเพื่อนของภรรยาที่สนิทด้วย ซึ่งแกมีภาวะความดันโลหิตสูงมาหลายปี จนกระทั้งเส้นเลือดฝอยในสมองรับไม่ไหวเกิดการแตกและมีเลือดออกในสมองหรือ Stroke ทำให้ตอนนี้ร่างกายซีกขวาเรียกว่าเป้นอัมพฤกษ์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังทำกายภาพบำบัดอยู่ ก็หวังว่าเพื่อนจะกลับมาให้ใกล้เคียงเดิมได้มากที่สุด 

วันส่งท้ายปีนี้ทำให้ได้ข้อคิดหลายๆ อย่างกับชีวิตที่ไม่แน่ไม่นอน อย่าประมาทกับการใช้ชีวิต และก็อย่ากลัวกับความตาย แต่ให้รำลึกถึงความตายทุกลมหายใจเช้า-ออก ตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้...  อย่ามัวแต่ตามหาความหมายของชีวิต แต่ให้พยายามทำให้ชีวิตมีความหมาย เพราะชีวิตมันอาจจะสั้นเกินกว่าที่คาดคิด 



จากนั้นก็ไปบ้านเพื่อนอิ๋วที่เป็นบ้านสวน เพื่อร่วมงานวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพื่อรับสิ่งดีดีให้กับชีวิตบ้าง  ก็นั่งกินดื่มกันถึงเที่ยงคืน ก็เป็นวันใหม่ของปีใหม่ 2565 "สวัสดีปีใหม่" ท่ามกลางอากาศที่เย็น 18 องศาเซลเซียส คืนนั้นผมเองก็นอนบนรถ เพราะว่าไม่ไหวอากาศเย็นมาก ส่วนภรรยาผมก็เข้าไปนอนกับเพื่อนๆ ในห้อง บางคนก็เอาเต้นท์มากลางนอน ตอนเช้าวันที่ 1 หลังจากอาหารเช้ามื้อแรกของปี ก็นั่งคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านที่ปทุมธานี เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องรถติด 

อาหารมื้อแรกของปี 2565

ขอสวัสดีปีใหม่ 2565 จากจังหวัดมหาสารคาม ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ไร้โควิด-19 และมีเงิน มีทองใช้ไม่ขาดมือตลอดปี 2565 และตลอดไป

By: KCAN


ไม่มีความคิดเห็น: