วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2568

แบตเตอรี่ลิเธียมฯ ตามสั่ง

    ปัจจุบันแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามาก แทนแบตเตอรี่รุ่นเก่า ที่บางแบบไม่สามารถชาร์จประจุไฟใหม่ได้ใช้แล้วทิ้ง หรือชาร์จได้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น รอบในการชาร์จน้อย กระแสไฟที่จ่ายออกมาไม่มากพอ ระยะเวลาในการใช้งานได้ค่อนข้างสั้น ก็ต้องกลับไปชาร์จใหม่อีก เป็นต้น 

    แต่แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน สามารถทลายขีดจำกัดต่างๆ นั้นลงได้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนรอบในการชาร์จ มากกว่า 2,000 - 3,000รอบ กระแสไฟก็สามารถจ่ายได้มากกว่าเดิมเยอะ และมีขนาดให้เลือกได้มากมายหลายชนิด หลายแบบ จึงทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

    ตั้งแต่ใช้กับรถ EV ทั้งหลาย เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งเล็ก และใหญ่ก็หันมาเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมกัน ดังนั้นถ้าหากว่าแบตฯ ลิเธียมไม่ดีจริง ก็คงจะไม่ได้รับความนิยมกันมากขนาดนี้ 

    แต่ข้อเสียของแบตฯ ลิเธียมก็มีอยู่คือเรื่องการชาร์จไฟ จะต้องมีวงจรอิเลคทรอนิคส์พิเศษควบคุมการชาร์จ เพื่อให้แบตฯ แต่ละก้อนได้รับแรงดันไฟฟ้าที่เท่าๆ กัน ไม่มีก้อนใด ได้รับมากกว่าก้อนอื่น ที่เราเรียกว่า BMS (Battery Management System) ซึ่งค่อนข้างที่จะยุ่งยากในการต่อใช้งานในระดับนึงเลยทีเดียว 
    
    ซึ่งสามารถลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายๆ เว็ยไซท์ได้ ทั้งเรื่องแบคเตอรี่ลิเธียม ไอออน และ BMS. 

    
    

ร้านมะตะบะอร่อย...

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดเลย เพราะลูกสาว ตอนนี้ทำงานอยู่แถวๆ ศรีนครินทร์ จะกลับมาบ้านทุกวันศุกร์ เพื่อเรียนเรียนภาษาจีนช่วงวันเสาร์ หรือไม่ก็วันอาทิตย์ ไม่แน่นอน แล้วแต่เหล่าซือจะว่างวันไหน ทำให้วางแผนเที่ยวได้ลำบาก ดังนั้นส่วนมากก็จะตระเวนหาที่กินที่ใกล้ๆ บ้านแทน

ซึ่งเมื่อวันอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา ตอนจะออกไปส่งลูกสาวกลับหอพัก 

The family trip @Kannajaburi Part II

สวัสดีเช้าวันที่ 2 ของ ทริปสังขละบุรี


เช้าวันที่ 2 กิจกรรมแรกก็คือเดินออกกำลังกายระแวกที่พักก่อนเลยครับ เพื่อเก็บก้าวเดินให้ได้ซัก 5,000ก้าวก่อน ซึ่งก็แน่นอนว่านอกจากออกกำลังกายแล้วยังเดินถ่ายรูปเล่นตอนเช้าด้วย เก็บภาพบรรยากาศเมืองสังขละบุรี


ทีพักของเราพอดีอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดวิเวกวังการาม ซึ่งมีพระองค์ใหญ่ตั้งอยู่ โดยมีทะเลสาปกั้นอยู่  ซึ่งผมเองก็พึ่งจะรู้ว่าเข้าเรียกกันว่าฝั่งไทย ส่วนฝั่งวัดวิเวกวังการามเขาเรียกกันว่าฝั่งมอญ โดยเชื่อมกันด้วยสะพานมอญ 


บรรยากาศตอนเช้าก็เป็นดังรูปข้างบน หมอกเยอะมาก ตอนแรกมองไม่เห็นองค์พระเลย แต่พอแดดเริ่มออกก็ค่อยๆ เห็นองค์พระ ซึ่งอยากบอกว่าสวยมาก หมอกเคลื่อนที่ผ่านองค์พระ อากาศเย็นแต่ไม่หนาว 26-27องศา มีลมพัดบางๆ พอให้เย็นๆ เหมาะกับการเดินออกกำลังกายตอนเช้าเป็นอย่างมาก  

วันนี้เราออกจากที่พักประมาณ 10โมงเช้า หลังจากที่กินข้าวเช้าอีกชื่อหนึ่งก็คือที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว และอาบน้ำแต่งตัวกันพร้อมลุยต่อในวันที่ 2


โดยจุดหมายแรกของการท่องเที่ยวก็หนีไม่พ้นวัด ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นวัดวิเวกวังการามของหลวงพ่ออุตมะ แห่งสังขละบุรี ซึ่งได้ยินชื่อเสียงเรียงนานมานานมาก เพราะเป็นที่นับถือของคนสังขละบุรี และคนระแวกนั้น รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านเองก็นับถือหลวงพ่อท่านมากเช่นกัน

วัดวิเวกวังการามเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างวัดไทย และวัดทางเมียนมา ดูสวยแปลกตาแต่ว่าสวยไปอีกแบบนึงเลย สงบ ร่มรื่น หลังจากไหว้พระกันเสร็จก็เดินดูรูปประวัติของวัดตามทางเดิน ซึ่งมีช่างภาพมืออาชีพมาถ่ายรูปและเอามาแขวนแสดงเอาไว้ตามทางเดินเยอะมาก เรียกว่าแต่ละภาพสวยๆ ทั้งนั้น มีทั้งภาพวิถีชีวิตชาวบ้าน ภาพประวัติของวัด ของสะพานมอญ และอิ่นๆ เยอะมาก ดูกันเพลินๆ เลยทีเดียว




จากวัดวิเวกวังการามเราก็ไปต่อกันที่เจดีย์พุทธคยา (จำลอง) แห่งสังขละบุรี โดยเรื่องของเรื่องคือว่าลูกสาวบอกกับเพื่อนๆ ที่ทำงานว่าจะมาเที่ยวที่สังขละบุรี เพื่อนๆ เลยฝากซื้อทานาคากัน ซึ่งเจ้าลูกสาวก็ไปเดินถามในตลาดตอนกลางคืนมาแล้ว แต่ว่าร้านที่ขายเขาปิดแล้ว ซึ่งคนที่ลูกสาวไปถามก็บอกว่ามีที่ขายอยู่ที่เจดีย์แห่งนี้อีกที่นึง ซึ่งลูกสาวก็เลยอยากมาเพื่อหาซื้อของฝาก และของที่ถูกฝากให้ซื้อด้วย ซึ่งบริเวณที่จอดรถก็จะมีร้านค้าของคนพื้นเมือง ทั้งไทย ทั้งมอญมาเปิดร้านของของฝาก ของที่ระลึกกันเยอะเลย และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้า ทานาคานี่แหละครับ มีทั้งแบบที่ยังไม่บด เป็นแท่งไม้เลยไปจนแบบผสมเสร็จเป็นครีม เป็นโลชั่น และอื่นๆ อีกมากมายหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งเจ้าลูกสาวก็ต้องไลน์ไปถามเพื่อนที่ฝากซื้อว่าจะเอาแบบไหน เพราะเยอะจริงๆ โดยใช้เวลาในการกาซื้อของฝากของลูกสาวก็กว่า 30นาที ก่อนที่เดินขึ้นไปเยี่ยมชมบนตัวเจดีย์ ซึ่งบนตัวเจดีย์ก็จะมีบันไดเล็กๆ สามารถเดินขึ้นไปข้างบนขององค์เจดีย์ได้




จากนั้นก็ไปต่อที่สะพานมอญ หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่มีความยาวเป็นอันดับสองของโลกมนุษย์ใบนี้เลยทีเดียว โดยมีความยาวถึง 850เมตร  โชคดีจังที่มีอะไรที่เป็นระดับโลกอยู่ในประเทศเรา โดยสร้างเพื่อให้คนที่มีจิตศรัทธาสามารถเดินข้ามไปยังวัดของหลวงพ่ออุตตมะได้ในตอนที่มีการสร้างเขื่อนใหม่ๆ และมีน้ำท่วมขึ้น ซึ่งก็จะมีเด็กชาวมอญมาเล่าประวัติของสะพานให้ฟัง และยังมีการเทินหม้ออยูบนหัวกันอยู่ด้วย



เมื่อเที่ยวในเมืองจนครบแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้าง โดยซึ่งนั่นก็คือชายเฃแดนระหว่างไทยกับเมียนม่า หรือด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ควรจะต้องไปเช็คอิน ไหนๆ ก็เดินทางมาไกลกว่า 300กิโลเมตรแล้ว


แต่ด้วยการเมืองภายในของประเทศเพื่อนบ้านทำให้ไม่สามารถที่จะเดินทางเข้าไปในประเทศของเขาได้ เพราะยังไม่สงบจากสงคราม เลยทำได้แค่เดินเล่นในตลาดฝั่งบ้านเราเท่านั้น แต่ก็จะมีคนขายของที่นำสินค้าจากประเทศเมียนม่า และประเทศจีนเข้ามาจำหน่ายจำนวนมาก โดยส่วนมากจะเป็นขนมต่างๆ บุหรี และเหล้า นอกนั้นก็จะมีของกินพื้นเมืองทางฝั่งเมียนม่าบ้าง หลังจากที่เดินในตลาดเพื่อซื้อของฝากเพือนๆ ที่ทำงานกันจนครบทุกคนแล้ว




ก็ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ว โดยจุดหมายวันนี้อยู่ที่อำเภอไทรโยค เป็นห้องพักที่อยู่ติดกับ แม่น้ำแคว ซึ่งคุณลูกสาวได้จองเอาไว้ ก็ใช้เวลาในการเดินทางอีก 2ชั่วโมงเศษๆ จากด่านเจดีย์สามองค์  

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

The family trip @Kannajaburi I

นานมากแล้วที่ไม่ได้ไปเที่่ยวตางจังหวัดด้วยกันแบบครบครอบครัว ตั้งแต่แม่ไม่ค่อยสบาย จนแกจากไป และลูกสาวคนที่ 2 ไปทำงานที่ออสเตรเลียอีก 1ปี...  นี่เป็นทริปแรกหลังจากที่ไม่ได้ไปมานานกว่า 2-3ปีเลย เป็นการเที่ยวเพื่อต้อนรับลูกกลับบ้าน 1เดือน ก่อนจะบินกลับไปทำงานต่ออีก 1ปีที่ออสเตรเลีย...


ทริปนี้ลูกสาวคนโตเป็นคนวางแผน เพราะเคยบอกว่าอยากไปมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้ไปซักที นั่นก็คือ อำเภอสังขละบุรี กาญจนบุรี  โดยลูกสาวขอให้ทุกคนลางานวันศุกร์ เพื่อจะได้ไปเที่ยวกันได้หลายวันมากขึ้น ซึ่งก็ต้องทำตามคำขอร้องของลูกสาว โดยทริปนี้จะเริ่มวันที่ 24/10/2025 - 26/10/2025 3วัน 2คืน

โดยวันที่ 24 ออกเดินทางกันประมาณ 8โมงกว่าๆ โดยคร่าวว่าจะไปถึงประมาณบ่ายสามโมง ถึง สีโมงเย็น   เพระระยะทางจากที่บ้านมาถึงอำเภอสังขบุรีจะประมาณสามร้อยกว่าเกือบสี่ร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว วันนั้นเราแวะกินข้าวเช้ากันง่ายๆ ที่ปั๊มน้ำมันบนถนนสาย 345 ก็เป็นข้าวเหนียวหมูปิ้ง กับอาหาร ขนม และน้ำในร้านสะดวกซื้อ เพราะว่าลูกสาวคนที่ 2 ทีกลับจากออสเตรเลียบอกว่าอยากกินอาหารในร้านสะดวกซื้อของไทย เพราะว่าที่ออสเตรเลียไม่มีขายเลยอยากกิน 

จากนั้นเราก็เดินทางต่อมาออกทีวงแหวนตะวันตก เพื่อขึ้นมอเตอร์เวย์สาย 81 ไปยังกาญจบุรี ซึ่งอยากบอกว่าลดเวลาเดินทางได้เยอะมากทีเดียว เราไปถึงตัวเมืองกาญฯ เวลา 10โมงนิดๆ เท่านั้น สถานที่ที่แรกที่แวะเที่ยวคือ ช่องเขาขาด ซึ่งเคยพาเด้กๆ มาครั้งนึงแล้วเมื่อ10กว่าปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่โรงถ่ายภาพยนต์เรื่องสมเด็จพระนเรศวรดังมาก ตอนนั้นก็มาครั้งนึงแล้ว แต่ว่าเด็กๆ บอกว่าจำไม่ได้แล้ว ก็เลยแวะ ซึ่งการแวะในครั้งนี้ก็ทำให้ลูกสาวคนที่ 2 แปลกใจมาก เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ถูกส่งเสริมและช่วยเหลืออย่างเป็นทางการจากประเทศออสเตรเลียทั้งหมด เป็นพิพิธภัณฑ์ทีมีชื่อว่า Hellfire Pass (Konyu Cutting), Thai-Burma Death Railway 

เท่าที่ผมจำได้ ก็ไม่แตกต่างจากสมัยก่อนมากนัก ทุกอย่างฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วแต่เราจะบริจาค  แต่ที่มีการพัฒนาขึ้นก็คือเรื่องการใช้เครื่องมือในการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์  ซึ่งสามารถยิมได้ฟรี ที่ชั้นล่างของตัวอาคาร และนำไปสแกนตามจุดต่างๆ ที่เดินผ่าน โดยจะมี QR code ให้สแกนตามบริเวณต่างๆ เพื่อรับฟังการเล่าประวัติ ณ บริเวณนั้นๆ และมีให้เลือกได้หลายภาษา แต่คณะเราไม่ได้ยืมมา แค่เดินเก็บภาพบรรยากาศกันเฉยๆ โดยเราใช้เวลาไปประมาณ 30นาที จากนั้นก็มานั้นหากาแฟ ชาเขียว เค๊ก กินกันอีก 15นาทีได้แก้เหนื่อยจากการเดิน ก่อนจะออกเดินทางต่อ

หลงทาง...  ไปไกลกว่า 70กิโลเมตร...

จากความมั่นใจของคุณพ่อ พาทั้งครอบครัวขับรถหลงทางไปไกลกว่า 30กม.ไปกลับก็ 70กว่ากิโเมตรเลยทีเดียว ไม่รู้ตัวว่าออกจากเส้นทาง 323 เข้าไปทางอำเภอทองผาภูมิถนน 3272 ตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจากแผนที่ใน Google ตอนที่ดูอยู่ที่ช่องเขาขาด จะวิ่งตรงตลอดตามถนนสาย 323 ไปจนถึงตัวอำเภอเมืองสังขละบุรีเลย เราก็วิ่งตรงตลอด ไม่เลี้ยวไหนเลย จนลูกสาวทักว่าทำไมเรามาทางนี้ เราไม่ได้กำลังไปอำเภอสังขละบุรีแล้วนะป๊า แต่เรากำลังไปหมู่บ้านปิล๊อก... ตอนนั้นก็เกือบบ่าย 3โมง เลยงงอยู่พักนึงจนหาที่จอดรถที่ปลอดภัยได้ ก็เปิดแผนที่ดู ซึงก็คือหลงมากว่า 37กิโลเมตร  แล้วก็กลับรถวิ่งย้อนกลับจนถึงทางเลี้ยวพื่อขับต่อบนถนน 323 มาถึงตรงจุดเลี้ยวก็สีโมงเย็น ลูกสาวก็บอกว่าแวะกินข้าวก่อนดีกว่า เพราะเที่ยงก็ไม่ได้กิน อีกอย่างคือปวดท้องฉี่กันด้วย เพราะไม่มีปั๊มน้ำมันเลย 


หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เราก็เดินทางกันต่อให้เส้นทาง 323 ใช้เวลาอีก ชัวโมงเศษ กว่าจะถึงอำเภอสังขละบุรี ประมาณ หกโมงกว่ากันเลย... หลังจากที่เช็คอินเข้าที่พักกันแล้ว ก็ออกมาขับรถชมเมืองยามเย็น แวะตลาดหาเครื่องดื่ม และขนมคบเคี้ยว แล้วก็แวะไปชมสะพานมอญยามค่ำคืนกันซักพัก พักใหญ่ๆ กว่าจะกลับเข้าที่พักอีกครั้งคือ 2ทุ่มกว่าๆ  ก็ทยอยกันไปอาบน้ำ พักผ่อนกัน บ้างก็ดูมือถือ บ้างก็ฟังเพลง วาดรูป บ้างก็อาบน้ำ ส่วนผมก็นั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ซักขวด เป็นยานอนหลับ  สรุปวันแรกได้เที่ยวแค่ที่เดียว ส่วนที่เหลือก็คืออยู่บนรถกัน...

แล้วจะมาเล่าต่อในบล๊อกถัดไปสำหรับวันที่ 2 และ 3


Kannajaburi trip with family within 20sce.

By: KCAN

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2568

สงครามไทย - กัมพูชา 2025

บันทึกไว้เป็นที่ระลึก สงคราม ไทย - กัมพูชา 2025 

24/07/2025  -  28/07/2025 สงคราม 5วัน

เหตุแห่งสงคราม:  มีหลากหลายความเห็นมากตังแต่เศรษฐกิจภายในประเทศกัมพูชาย่ำแย่ถึงขีดสุด และผู้นำกำลังสูญเสียอำนาจการบริหาร เลยพยายามสร้างศัตรูภายนอกประเทศ เพื่อปลูกความรักชาติของคนภายในประเทศ และเพื่อกลบเกลือนการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง 
นอกจากนั้นก็จะมีสาเหตุจากความผิดหวังในการทำข้อตกลงของผู้นำระหว่างไทย (ตระกูลชินฯ) กับผู้นำทางฝั่งกัมพูชา (ตะกรูฮุน) ว่าจะมีการให้โน่น ให้นี่ ให้นั่น (ซึ่งก็หมายถึงปราสาทต่างๆ และดินแดนของประเทศไทย รวมถึงทรัพยากรในอ่าวไทย) กัน 

รวมถึงความไม่เด็ดขาดของผู้นำไทยในยุคก่อน ที่ปล่อยปะละเลยให้ทางกัมพูชา สร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ทั้งบันได กระเช้า และอื่นๆ เพื่อปีนขึ้นมาตั้งฐานทัพบนผืนแผ่นดินไทยได้...

โดยระยะหลัง ทางกัมพูชาเริ่มเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ มีการเผาทำลายศาลาตรีมุข ที่เป็นสัญลักษณะแห่งมิตรภาพ 3 ประเทศ ที่อยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (วันที่ 3 มีนาคม 68) เพื่อบงบอกกับไทย และลาวว่า กัมพูชาจะไม่เป็นมิตรที่ดีต่อกันแล้ว จากนั้นทางกัมพูชาก็เริ่มที่จะเสริมกำลังรบ และกองทัพขึ้นมาประชิดชายแดนไทย ลาวตลอดเวลา และรุกคืบเข้ามาในดินแดนของไทย ซึ่งไทยได้ทำการประทวงไปหลายต่อหลายร้อยรอบ แต่ก็ไม่เป็นผล

จุดที่ทำให้เกิดการประทะก็คือเมื่อทางกัมพูชาได้เข้ามายึดปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมืองธม โดยบอกว่าเป็นของกัมพูชา จนทำให้แม่ทัพ (ภาคที่ 2) ของไทยไม่ยอมและสั่งปิดชายแดน กระทบกับธุรกิจสีเทา รวมถึงบ่อนการพนันทางฝั่งกัมพูชาอย่างมาก ทำให้งูเฒ่าไม่พอใจ และโมโหการกระทำของแม่ทัพภาคที่ 2 เรา แต่จุดพีคก็คือเรื่องคลิปเสียงที่นายกฯ ไทย  โทรไปเจรจากับงูเฒ่า โดยบอกว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละฝั่งกับตัวเอง... โดยตัวเองถูกไล่ให้ไปเป็นนายกฯ ที่กัมพูชาแล้ว เลยอยากให้ UNCLE ช่วย และ UNCLE อยากได้อะไรเดี๋ยวหลานจัดให้... ซึ่งก็มีผลด้านการกระทำ เมื่อมีหลายต่อหลายคลิปที่นายกฯ พยายามจะให้ทางกองทัพเปิดด่วนให้ตรงกับทางกัมพูชา...

ทำให้ประชาชนไทยตาสว่างมากๆ ว่าเหตุการโดยลำดับมันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ MOU43, MOU44 จนถึงปัจจุบัน ที่แท้ก็คือธุรกิจระหว่าง 2 ตระกุลนั่นเอง และเกิดการคุยไม่ลงตัว...

และแล้ววันที่ 24/07/68 สงครามก็ได้เริ่มต้นขึ้นโดยทางกัมพูชาเป็นคนเริ่มยิงก่อนเนื่องจากมั่นใจในศักยภาพของกองทัพของตัวเอง โดยใช้อาวุธที่เรียกว่า BM-21 ในการเปิดฉากการรบ  ซึ่งการยิงไม่ได้สนใจว่าลูกกระสุนปืนจะไปตกที่ไหน ทำให้ลูกกระสุนปืนหลายต่อหลายลูกมาตกในหมู่บ้านฝั่งไทย รวมทั้งร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล โรงเรียน รวมถึงสถานที่ราชการอีกมากมาย ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนกว่า 20-30กิโลเมตร เป็นความจงใจสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างสถานะการณ์ ให้คนไทยหวาดกลัว จะได้หนีออกจากพื้นที่ และทางกัมพูชาจะได้เข้ามายึดพื้นที่ได้โดยง่าย

แต่สถานะการณ์พลิกผลัน ไทยได้ส่งเครื่องบินรบ F16 ขึ้นหย่อนไข่ ใส่เครื่องยิง BM-21 จำนวนมาก รวมถึงการใช้โดรนในการทำลายฐานที่มั่นที่ทางกัมพูชาใช้ในการเก็บอาวุธ และลูกกระสุนปืน BM-21ได้จำนวนมาก และเป็นความชอบธรรม เพราะทางกัมพูชาฆ่าผู้บริสุทธิ์และไม่เกี่ยวข้องกับสงคราม และทำให้ไทยอยู่ในฐานะป้องกันตัวเองและจากการใช้ F-16 และ Grippen ในการช่วยหย่อนไข่ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากหลักพันนาย 

จนกระทั่งวันที่ 28/07/68 เวลาเที่ยงคืน สงครามก็ได้ยุติลง ด้วยความการขอความร่วมมือจากนานาชาติทั้งมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียน และสหรัฐอเมริกา ที่ใช้เรื่องกำแพงภาษีการค้าในการขมขู่เพื่อให้ยุติสงคราม

จากนั้นก็มีการแถลงความสูญเสีย โดยทางการไทยแถลงว่าเราสูญเสียทหารไป 18นาย แต่กัมพูชากลับแถลงว่าสงครามครั้งนี้ ทหารกัมพูชาเสียชีวิตเพียง 5นายเท่านั้น แต่ไทยเสียทหารถึง 18นาย และกัมพูชาเป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการรบครั้งนี้ สามารถยึดดินแดนไทยได้จำนวนมาก ทั้งภูมะเขือ ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือนธน โดยทหารไทยแตกพ่ายไม่เป็นขบวน เพื่อหลอกคนกัมพูชาด้วยกันเอง ....

จากวันนั้นถึงวันนี้ ทางกัมพูชาก็ยังคงออกมาโกหกรายวัน ส่งกองกำลังประชาชนมาป่วนทหารไทยที่ชายแดน แทนการใช้ทหาร แต่ก็ยังมีการเคลื่อนพล และอาวุธยุทธโธปกรณ์ ขึ้นมาเสริมและประชิดชายแดนอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ในสัญญาที่ลงกันไว้ที่มาเลเซียจะบอกว่าห้ามเสริมกำลังพลและอาวุธก็ตาม  แถมยังพยายามยั่วยุด้วยการใช้กับระเบิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรง และไร้ซึ่งมนุษยธรรม ทำให้ทหารไทยสูญเสียขาไปถึง 6นาย จากนี้ไป ก็ต้องดูเหตุการณ์ กันต่อไปว่าจะมียกที่ 2 ยกที่ 3 อีกไหม... แต่ดูท่าทางผู้นำกัมพูชาคงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ คงจะมีรอบ 2 รอบ 3 ในเร็ววันนี้เป็นแน่

จริงๆ โดยความเห็นส่วนตัว การตีงูควรจะตีที่หัวงู เพื่อไม่ให้มันกลับมาแว้งกัดเราได้อีกต่อไป 

แต่พูดก็พูด คำสาปแห่งปราสาทตาเมือนฯ กำลังทำงาน ในไม่ช้า เจ้างูเฒ่า และลูกๆ ของเขาก็คงจะต้องชดใช้กรรมจากผลการกระทำของพวกเขา โดยส่งผลให้ครอบไม่มีความเจริญ บ้านแตกสาแหลกขาด กลายเป็น No Land Man กันทั้งครอบครับและวงตระกูลอย่างแน่นอน


ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถทำลายคำสาปของตัวปราสาทลงได้... ให้พวกเราคอยดูความหายนะของเขากัน

BY: KCAN.

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

ไปเที่ยวพัทยาแบบเล่นน้ำสระ...

นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้มาที่พัทยา... 

    จำได้ว่าครั้งหลังสุดที่ไปคือช่วงโควิทกำลังระบาดหนักๆ เลย ร้านริมหาดปิดกันแทบหมด ชายหาดเงียบมาก ตอนนั้นรู้สึกว่าดีมากเลย เหมือนหาดส่วนตัวมากๆ  

    อยู่ๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณภรรยาก็บอกว่า เพื่อนชวนไปเที่ยวพัทยา เป็นรีสอร์จแบบ Pool villa เลยสอบถามว่าเพื่อนคือใคร แล้ว Poll villa ที่พัทยาอ่ะที่ไหน คำตอบคือต้องรอก่อนยังไม่แน่ เลยถามต่อว่าแล้วเสาร์-อาทิตย์นี้หยุดใช่หรือเปล่า ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า "ใช่" 

    จากนั้นก็เงียบหายไป 2วัน จนประมาณวันพฤหัส ก็บอกว่า โอนเงินไปจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็สอบถามว่าชื่อรีสอร์อะไร อยู่ตรงไหนของพัทยา คุณภรรยาก็ส่งเป็นลิงค์เข้าในกลุ่มไลน์ ซึ่งก็มีชื่อว่า "เป็นต่อ house colors pool" ไม่ได้อยู่ติดทะเลนะ ราคาไม่แรงมาก ก็ตามสไตล์คุณภรรยาของผมอยู่แล้วครับ ทำก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง ฮ่าๆๆ เลยเหมือนโดนบังคับให้ไปแบบกลายๆ 

    และเมื่อวันเสาร์มาถึง ก็ออกเดินทางจากบ้านมุ่งสู่หาดพัทยาเหนือ โดยตั้งใจว่าจะไปกินข้าวเที่ยงกันที่ริมหาดกันก่อน แล้วก็ค่อยแวะซื้ออาหารทะเล ที่ตลาด แล้วก็เข้าที่พัก เพื่อทำอาหารเย็นกัน แต่ทว่าไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง หาดพัทยาเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนไทย ทั้งคนต่างประเทศ เยอะไปหมด หาที่จอดรถริมหาดกันไม่ได้เลย ขับรถวนไปแล้วก็วนมา คั้งแต่พัทยาเหนือจรดพัทยาใต้ แล้วก็วนอยู่ 2-3ครั้ง...

    ในมี่สุดเมื่อทนความหิวไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็นร้านอาหารตามถนนที่พัทยาเหนือแทน ฮ่าๆๆๆ ง่ายและอิ่มเหมือนกัน แค่ไม่เห็นวิวทะเลก็เท่านั้น... เมื่อกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ก็ต้องไปตลาดกันต่อ ตามแผนที่วางเอาไว้ โดยเลือกไปที่ตลาดเทศบาลบางละมุง เพื่อให้ง่ายในการเดินทางต่อไปยังที่พักที่จองเอาไว้ เพื่อเลียงรถติดตามถนนริมของหาดพัทยาด้วย และหาที่จอดรถได้ง่ายกว่า

    บ่าย 2 เศษ เราก็มาถึงที่พักกันครับ โดยที่พักแบ่งเป็น 2 อาคารด้วยกัน โดยแต่ละอาคารจะหันหน้าเข้าสู่สระว่ายน้ำ  อาคารแรกเป็นห้องนอน จะแบ่งเป็น 3 ห้องนอนด้วยกัน และในแต่ละห้องจะสามารถนอนได้ 3-4คน เพราะจะมีเตียง 2 ชั้น และเตียงคู่อีก 1เตียง อาคารที่ 2 จะเป็นอาคารนันทนาการ มีโต๊ะ Pool พร้อมห้องครัว และคาราโอเกะ ชึ่งก็แน่นอนครับ ต่างคนต่างทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบเลย เวลานี้เป็นอิสระ ใครใคร่เล่นน้ำเล่น ใครใคร่ร้องคาราโอเกะก็ร้อง ส่วนผมก็หาเครื่องดื่มเย็นๆ ดับกระหายครับ...

    หมดวันแรกไปด้วยความรวดเร็ว คืนนั้นก็ทั้งร้องเพลงทั้งกินดื่มกันจนดึกเลยทีเดียว ประมาณ เที่ยงคืนกว่าเห็นจะได้ จากนั้นตอนเช้าก็ตื่นมาทำการเก็บกวาด ล้างถ้วยชามของเมื่อคืน จากนั้นก็เล่นน้ำกันครับเป็นการออกกำลังกายตอนเช้า ก่อนที่จะเริ่มทำอาหารเช้ากัน ก็เป็นอาหารง่ายๆ แต่ว่าอร่อยครับ ทั้งข้าวต้มทะเล ไข่เจียว และก็มีพวกขนมปัง กาแฟ ของทางที่พักร่วมด้วย โดยเราต้องเช็คเอาท์ออกจากที่พักก่อน 11โมงเช้า



    และหลังจากที่ออกจากที่พัก เราก็ต้องขึ้นไปกราบอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ ที่อยู่บนเขาทัพพระยากันครับ เป็นปูชนียบุคคลที่นับถืออีกหนึ่งท่าน และก็ฝากท้องมื้อเที่ยงเอาไว้บนเขากับร้านอาหารของกองทัพเรือ ก่อนเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ


By: K.C.A.N