วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

บ้านมีไม่นอน ไปนอนเต้นท์ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น

อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น จังหวัดสระบุรี 12-13 พ.ย 65



เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่คุณภรรยาได้หยุด เสาร์ - อาทิตย์ ซึ่งจะมีเดือนละ 1ครั้ง ดังนั้นแม่คุณก็อยากจะออกไปเที่ยว ก็ชวนไปทั่ว ทั้งลูกสาวทั้ง 2 คนก็ไม่มีใครสะดวกจะไปด้วยเลย คนเล็กก็บอกว่าจะต้องส่ง 


งานให้อาจารย์วันจันทร์หน้า ต้องรีบปั่นงาน ส่วนคนโตที่พึ่งได้งานทำ ก็บอกว่าเพื่อนนัดกันไปฉลองที่เขาได้งานทำแล้วกันที่ฟิวเจอร์ฯ นัดเอาไว้แล้วด้วย คุณแม่ก็เลยอกหัก แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเตรียมข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งเต้นท์ และอื่นๆ ที่จำเป็น จากนั้นก็หันมาหาผม ซึ่งก็กะเอาไว้อยู่แล้ว 555 เลยถามว่าจะไปกางเต้นท์ที่ไหนล่ะ ภรรยาผมก็บอกว่าแถวสระบุรี นครนายกนี่แหละพอแล้ว ไม่ต้องไปไกลมาก เลยถามว่าที่ไหนละ น้ำตกเจ็ดคตโป่งก้อนเส้า หรือว่าที่ไหน ซึ่งภรรยสผมก็บอกว่าที่ไหนก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ชีวิตต้องการธรรมชาติ (โอ้โห... ชีวิตต้องการธรรมชาติ 555)   


ก็บอกว่าเอาไว้บ่ายๆ ค่อยไปแล้วกัน ถ้าสระบุรีไม่ไกลมาก ขับรถชั่วโมงครึ่งก็ถึงจากที่บ้าน ภรรยา ผมก็ถามว่าแล้วจะไปกางที่ไหนล่ะ ก็เลยบอกว่าถ้าให้ผมเป็นคนเลือก ก็ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น อยู่แค่ในตัวเมืองสระบุรีเอง ถ้าไปน้ำตก 7-คต ต้องเลยขึ้นไปที่อำเภอแก่งคอย หรืออีกประมาณ 40-50กม.


ภรรยา ผมก็สอบถามว่าเคยไปมาแล้วไม่ใช่รึ มันไม่มีอะไรเลยนะเป็นที่โล่งๆ เฉยๆ และก็อยู่ติดถนนด้วยจำได้อยู่ ผมเลยบอกว่าก็ใช่นะ แต่ก็ไม่ติดถนนขนาดนั้น และนั่นก็ 10กว่าปีมาแล้วตั้งแต่ลูกๆ ยังอายุ 4-5ขวบเอง นี่ผ่านมานานแล้ว เขาก็น่าจะปรับปรุงใหม่แล้วหรือเปล่า เข้าไปดูรีวิวเขาก็บอกว่าโอเคสวยอยู่ มีอ่างเก็บน้ำด้วย สามารถปันจักรยามรอบอ่างเก็บน้ำได้ด้วย ภรรยาผมเขาก็เงียบไป

จากนั้นประมาณ เกือบบ่ายโมงหลังจากที่ทยอยขนของที่คุณเธอเอามากองๆ ไว้เข้าไปเก็บเอาไว้ในรถแล้ว ก็ไปบอกภรรยาว่าจะไปกันหรือยัง ปรากฏว่าหลับซะงั้น... แถมบอกว่า ก็ขับรถแค่ ชั่งโมงครึ่งเองไม่ใช่รึ ค่อยออกซักบ่าย 3โมงก็ได้ ไปตอนนี้ก็ร้อนอ่ะซิ... งงไหมครับ เอาใจลำบากจริงๆ ผู้หญิงนี่ เมื่อ 3ชั่งโมงก่อนยังกะตือรือล้นอยากไปหาธรรมชาติมาก หรือที่ที่เราแนะนำจะไม่ถูกใจ แต่ประมาณบ่ายสองกว่า คุณภรรยาก็ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำและก็บอกว่าให้ออกเดินทางได้แล้ว จึงขับรถออกจากบ้านมายังไม่ทันถึงไหนเลย ก็แวะตลาด เพื่อซื้อเสบียงขึ้นไปทำกินกัน ทั้งมื้อเย็น และมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้ แถมยังได้แวะอีก 2 ร้านซะดวกซื้อ ตลอดทางไปอุทยาน เพราะลืมนั่น ลืมโน่น ลืมนี่ 555 ทั้ง กย. 15 น้ำแข็ง เครื่องดื่มก็ต้องไปซื้อใกล้ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวละลาย เดี๋ยวไม่เย็น กว่าจะถึงก็ 5โมงเย็น 


ปรากฎว่าที่ในอุทยานมีร้านค้าสวัสดิการ มีทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการแคมปปิ้งจำหน่าย รวมถึงอาหารต่างๆ ด้วย แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือ เรื่องการขนของ จากที่จอดรถไปยังจุดที่จะตั้งแคมป์ค่อนข้างจะไกล เรียกว่าเกิน ครึ่งกิโลเมตร ควรจะมีรถเข็นไปด้วยอย่างยิ่ง อุทยานแห่งชาติน้ำตกสามหลั่น เหมือนเขาจะทำใหม่ ดูดีมาก ภรรยาผมเห็นแล้วก็เลยเริ่มจะอารมณ์ดีขึ้น หรือว่าได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติก็เลยอารมณ์ดี หลังจากได้ที่เหมาะก็เริ่มกางเต้นท์ และก็ทยอยขนของ โดยเริ่มจากพวกโต๊ะ เก้าอีก เตาแก๊ส เพื่อให้ภรรยาเขาเตรียมอาหารก่อน จากนั้นก็จะเป็นเครื่องนอนต่างๆ และตามด้วยอุปกรณ์ส่องสว่าง 

กว่าจะได้กินข้าวในวันนั้ก็เกือบๆ 1ทุ่ม เป็นหมูกะทะตามแบบภรรยาผม ก็อร่อยดีครับ ประมาณ 2ทุ่มก็ขนหม้อ จาน ขาม กะทะ ไปล้าง จากนั้นก็อายน้ำอาบท่า และกลับมาดื่นเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ทางอุทยานเขาไม่อนุญาติให้นำเข้าไป แต่ๆ มันจำเป็นครับ ไม่ใช่ว่าติดหรืออะไรนะครับ ในส่วนนี้ก็อยากให้ทางอุทยานเข้าใจด้วยนิดหน่อย เพราะสำหรับผมแล้วมันคือยานอนหลับชั้นดีเลยทีเดียว ขอซัก 1-2กระป๋องเพื่อให้หลับง่าย เพราะมันแปลกที่ และมีเสียงลม เสียงสัตว์ต่างๆ ที่ออกหากินตอนกลางคืนด้วย เพื่อการนอนหลับจริงๆ ของร่างกาย 


ประมาณ 4ทุ่ม เจ้าหน้าที่ก็ประกาศให้ดับไฟส่องสว่าง และให้เข้านอนกันได้ ก็พอดีกับเครื่องดื่มหมดพอดี ลำบากมากต้องแอบกิน... จากนั้นก็ไปแปรงฟันก่อนเข้านอน อุณหภูมิก็แค่เย็นๆ ประมาณ 25-26องศา ต้องเปิดหน้าต่างเต้นท์เอาไว้ ไม่อย่างงั้นภายในเต้นท์จะค่อนข้างร้อน  แต่พอตอนเช้าซักตี 4 อุณหภูมิก็เหลือแค่ 22-23องศา ต้องหาผ้ามาห่มกันเลยทีเดียว

สำหรับกิจกรรมในช่วงเช้าวันอาทิตย์ ก็คือ เดินรอบอ่างเก็บน้ำ ระยะทางก็น่าจะเกือบๆ 1กิโลเมตรได้ และก็ถ่ายรูปวิวตามมุมต่างๆ และก็กลับไปทำอาหารและกาแฟกินกัน ซึ่งก็จะเป็นข้าวจี่กับไข่ดาว และต้มมาม่า ตบท้ายด้วยกาแฟ อีกแก้ว ก่อนที่จะล้างถ้วย ล้างจาน ทยอยเก็บของอื่นๆ เพื่อรอให้เต้นท์แห้ง ก่อจะเก็บเต้นท์ เป็นรายการสุดท้าย และเดินทางกลับ เป็นอีกทริปติดธรรมชาติที่อยากบันทึกเอาไว้ 

By: KCAN

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ทำบุญ ทำใจ รำคาญ

ทำบุญ ทำบุญ ทำบุญ. . .

    วันนี้เป็นวันที่ล๊อตเตอรี่ออก เมื่อวานตอนเย็นลูกเปิดเดี่ยว 13 ให้ดู แล้วก็ขำมากมายสไตล์คุณโน๊ต อุดม โดยเฉพาะช่วงวิจารณ์นายกฯ ชอบที่สุดก็ตรง "ทำใจ ทำใจ ทำใจ" นี่แหละ วันนี้เลยขอมาทำบุญ ทำบุญ ทำบุญ ให้ท่านซักหน่อย เฝื่อว่าท่านจะดีดตัวออกไปจากเครื่องบินประเทศไทยซักที 555  แนะนำให้ไปอยู่ดูไบนะครับ หลังจากดีดตัวออกไปแล้วอ่ะ

    วันนี้คุณภรรยาเขาเลือกมาที่วัดพระยาสุเรนทร์ ซึ่งที่ดูในแผนที่ Google แล้วก็ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่จากบ้าน บอกตรงๆ แต่บอกเลยว่าผมไม่เคยมาเหมือนกัน ปกติก็จะไปแต่วัดแถวบ้าน วันนี้มาซะไกลเลย  สอบถามว่าทำไมต้องวัดนี้ เพื่อนชวนหรือว่ายังไง  ภรรยาผมบอกว่ามาจาก Tiktok. . . งงไปเลยครับ เลยถามต่อว่า ใน Tiktok เขาว่ายังไงถึงได้อยากมา 

    ภรรยาบอกว่าเขามีงานทอดกฐิน โดยมีเบลล่ามาเป็นประธาน ก็เลยยิ่งงงไปใหญ่ เลยสอบถามต่อว่า เป็นติ่งเบลล่าตั้งแต่เมื่อไหร่? อยู่กันมา 20กว่าปีไม่เคยเห็นว่าจะชอบดารามากมายขนาดว่าอยากไปเจอเขาเลย พอถามเสร็จ แม่คุณก็หันมามองแล้วก็ถามกลับมาว่า ตกลงจะพาไปหรือเปล่า ??? ผมก็เลิกถามแล้วก็เดินไปอาบน้ำแต่งตัว...


    ประมาณ 10โมงเศษ ก็มาถึงที่วัด ก็ต้องบอกว่าวัดสวยดีครับ งานทอดกฐินก็จัดใหญ่เลย ผมก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยๆ และก็เดินตามคุณภรรยาไปไหว้หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ และก็ไหว้พระประธานในโบสถ์ และสุดท้าย ท้ายสุดก็มาจบที่ท่านท้าวเวชสุวรรณ... (นึกเอาไว้อยู่แล้ว) ว่ามาทำไม แต่เอาเบลล่ามาอ้าง 555 แถมโมโหให้เราอีกมันน่าไหม 

    แต่ก็คิดว่ามาทำบุญแล้ว อย่ามีปัญหากันจะดีกว่า ความสุขของเขา และก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นความสุขของเราด้วย แค่ไม่ใช่เรื่องของตัวเลข แต่เป็นเรื่องการได้มาในสถานที่ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้มา ได้ถ่ายรูปได้ทำบุญ และอืนๆ แค่นี้ก็โอเคแล้ว 


 หลังจากที่ได้สมปรารถณาเรียบร้อยแล้ว ก็ชวนกลับบ้านซะงั้น ตอนแรกว่าจะถามว่าเบลล่ามาตอนสี่โมงเย็นนะไม่รอรึ แต่อย่าถามดีกว่านะ กลับก็กลับ พอบ่ายสี่โมงทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ คือไม่ถูกอะไรเลย  อย่างที่เขาว่าจริงๆ "เช้าวุ่นวาย สายตื่นเต้น เย็นนั่งเศร้า" จบข่าว 555 


วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พาหลานสาวไปร่องเรือเจ้าพระยา

 พาหลานสาวไปร่องเรือเจ้าพระยา

"ประสบการณ์สร้างคน และคนสร้างชาติ. . ." คำพูดที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครแต่ว่า ภรรยาของผมเขาชอบมาก และชอบสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนที่อาจจะไม่ค่อยจะได้มีโอกาส ที่จะทำสิ่งนั้นๆ ได้ด้วยกลายๆ ปัจจัย 

    ก่อนอื่นก็ต้องขอออกตัวเอาไว้ก่อนนะครับว่าครอบครัวผมไม่ใช้คนที่ร่ำรวยมากมายอะไร ก็เรียกว่าพอมีกินมีใช้เหมือนๆ กับหลายๆ ครอบครัว มีเงินเก็บไม่มากไปกว่าหนี้สิ้นที่มี แค่ว่าเป็นหนี้บ้านที่อยู่ในระบบ เลยเสียอัตราดอกเบี้ยเป็นปกติ สวนหนี้อื่นๆ จะมีบัตรเครดิตบ้างเป็นครั้งคร่าวที่หมุนเงินเดือนไม่ทัน เช่นค่าเทอมลูก 2 คน มาเก็บตอนเดือนที่รถเสีย อะไรประมาณนั้นครับ 

    ส่วนการพาหลานสาวกับน้องชายมาร่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยาในครั้งนี้ก็เป้นเพราะว่าโชคช่วย โดบภรรยาผมเขาเป็นแนวๆ เสี่ยงโชคอยู่แล้ว งวดนึงจะซื้อล๊อตเตอรี่เก็บเอาไว้อย่างน้อยๆ ก็มี 5ใบ หรือเดือนละไม่เกิน 1,000บาท เขาก็จะพูดคล้ายๆ กับพ่อผมบอก ว่าเฝื่อโชควิ่งชน แต่พ่อผมก็จะซื้อเอาไว้แค่งวดละ 1-2ใบเท่านั้นในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าสำหรับผมเคยมีหมอดูมาทำนายทายทักว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเรื่องโชคเท่าไหร่ ถ้าจะมีก็ต้องทำเอาสร้างเอาเองเท่านั้น ดังนั้นผมเลยเป็นคนที่ไม่ค่อยจะซื้อล๊อตเตอรี่เท่าไหร่ นอกจากนานๆ ครั้ง เดือนละ 1ใบ หรือ 2เดือน 1ใบ เรียกว่าไม่ค่อยจะอินกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งแต่ต่างกับกับภรรยาผมมากๆ ในเรื่องนี้ 

    แต่ว่าในครั้งนี้ ภรรยาผมอาจจะพูดถูก เพราะว่าแกถูกล๊อตเตอรี่ รางวัลเลขท้าย 3ตัว 3ใบ โดยเป็นการเลือกจากหลานสาวผมเอง ก็ไม่รู้ว่าไม่ซื้อกันตอนไหน แต่พอถูกแล้ว ภรรยาผมก็สอบถามหลานสาวว่าอยากได้อะไร หลานสาวก็บอกว่าไม่อยากได้ แต่ภรรยาก็บอกว่าจะพาไปกินข้าวแล้วกัน

   และนั่นก็เป็นที่มาของการมาร่องเรือในครั้งนี้ ซึ่งก็มาด้วยกัน 6คน โดยมีลูกสาวผมมาด้วย 2คน และน้องชายผมอีกหนึ่งคน โดยครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 สำหรับผม ภรรยาผมเองก็เป็นครั้งที่ 3 เช่นกัน รวมถึงน้องชายผมด้วยที่มาเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มาร่องเรือ แต่ว่าก็เป็นครั้งแรกของลูกสาวทั้ง 2คนและหลานสาวด้วย

        ซึ่งประสบการณ์แรกของเขา ก็ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อย โดยขึ้นเรือที่ท่าน้ำ River City และก็วิ่งไปทางด้านสะพานพระรามแปด จากนั้นก็กลับเรือ วิ่งย้อนกลับไปทาง สะพานกรุงเทพ และก็กลับเรืออีกครั้งที่ เอเชียทีค ก่อนที่จะกลับมายังท่าเรือ River City โดยปรมาณ 2ชั่วโมงเศษ

    ลูกสาวเองก็บอกว่าสวยมากๆ และเหมือนว่าเมืองหลวงของเรา จะถูกแบ่งแยกโดยสะพานพุทธ ด้านนึงจะดูเป็นแบบวัฒนธรรม อีกด้านนึงเป็นแนวอาคารสูงมากแบบต่างประเทศ สวย 2แบบเลย จะพาเพื่อนๆ มาอีกแน่ๆ 

By: KCAN

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เงินบาทอ่อนเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ

เงินบาทอ่อนเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ     ทำให้ราคาสินค้าของไทยที่ขายไปยังอเมริกาต่ำลงอย่างมาก ซึ่งเป็นข้อดีอย่างยอดเยี่ยมสำหรับประเทศไทยเรา ทำให้คนอเมริกาสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าจากประเทศเราได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาคือการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา ก็จะมีราคาแพงขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ๆ เราก็หยุดนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นจากสหรัฐอเมริกา ชั่วคราวก่อน นำเข้าเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้นพอ และหาแหล่งวัตถุดิบจากประเทศอื่น ที่ค่าเงินอ่อนเหมือนบ้านเรามาแทนที่ ส่วนเรื่องของพลังงานต่างๆ ที่เรานำเข้าจากประเทศอื่น แต่ยังจ่ายเงินเขาเป็นสกุลดอลล่าร์ที่จะต้องนำเงินบาทไปซื้อดอลล่าร์ก่อนแล้วค่อยจ่ายให้เขา ก็พยายามเจรจากับผู้ขาย ขอจ่ายเป็นเงินสกุลอื่นที่เขายอมรับได้แทน หรือเปลี่ยนที่ซื้อแทน เช่นขอนำเข้าจากรัซเซีย จีน หรือ อินเดีย แทน และจ่ายเป็นสกุลเงินรูเบิ้ล หยวน หรือ รูปี เป็นต้น

    ต้องเข้าใจว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกากำลังจ่ายหนี้สินที่ได้ก่อเอาไว้อย่างมหาศาล และกำลังดึงเงินดอลล่าร์ที่พิมพ์ทิ้งพิมพ์ขวางออกมาสู่ตลาดโดยไม่มีทองคำหนุนหลังจำนวนมาก ด้วยการให้ดอกเบี้ยสูงๆ เพื่อดึงเงินกลับไปทำลายทิ้งและรัฐบาลจะต้องหาเงินมาจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงๆ ด้วย มันเป็นธรรมชาติ เราก็ต้องนำเงินดอลล่าน์ที่มีอยู่ไปฝากเพื่อกินดอกเบี้ย แต่ต้องเป็นเงินเย็นนะครับ คือเป็นเงินที่ไม่รีบร้อนใช้ ให้ฝากกินดอกเบี้ยไปนานๆ จนกว่าสหรัฐฯ จะดึงเงินดอลล่าร์กลับประเทศจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว จากนั้นอัตราดอกเบี้ยก็จะลดลงมาเอง เพราะรัฐบาลคงจะไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยที่มันสูงๆ ไปได้นานนักหรอกครับ แต่ก็ต้องระวังๆ เอาไว้ด้วยครับ เอาเงินไปฝากกับคนทีเป็นหนี้เยอะๆ ก็อาจจะโดนโกงได้เช่นกัน ถ้าประเทศไม่มีเงิน

    ดังนั้นตอนนี้รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกาก็ต้องหาเงินจำนวนมากๆ มาใช้ในการจ่ายดอกเบี้ย และวิธีการเดียวที่ทำได้ก็คือ ขายอาวุธสงคราม เพราะเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้อย่างมหาศาลที่สุดของสหรัฐฯ แล้ว ดังนั้นถ้าหากว่าโลกสงบสุข แล้วเขาจะขายอาวุธให้กับใคร ดังนั้นก็ต้องก่อสงคราม ทั้งในยูเครน และไต้หวัน ที่จะเป็นชนวนในการจุดสงครามได้ และก็ทำสำเร็จในยูเครน และรัสเซีย และก็พยายามที่จะทำให้ไต้หวัน เป็นชนวนต่อไป การที่จีนเปิดการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน ยิ่งทำให้ไต้หวันสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ อย่างมโหฬาร และเข้าทางสหรัฐอเมริกา ทางที่ดีจีนควรที่จะเดินหน้าเรื่องการค้าขายกับไต้หวันมากกว่า ในทุกมิติ รวมถึงขายอาวุธให้ไต้หวันด้วย และสิ่งที่ไต้หวันต้องการคือประชาธิปไตย ดังนั้นก็ต้องเล่นในเกมประชาธิปไตย โดยตั้งพรรคการเมืองในไต้หวันเพื่อแข่งขันกันตามกติกา โดยไม่พยายามเปลี่ยนกฎที่เขาปฏิบัติอยู่ ดังนั้นนอกจาก 1ประเทศ 2ระบบแล้ว จีนเองก็ต้องยอมรับ 1ประเทศ 2ผู้นำด้วย ถ้าหากว่าพรรคที่ทางจีนตั้งขึ้นมาแพ้เลือกตั้ง ก็ต้องยอมรับด้วย แต่ถ้าพรรคการเมืองที่จีนตั้งในไต้หวันชนะเลือกตั้งนั่นแหละ ก็จะทำให้มี 1ผู้นำ

    ดังนั้นผู้นำโลกจะต้องเห็นเหลี่ยมกลของประเทศสหรัฐฯ ถ้าหากว่าเขาพยายามก่อสงคราม แต่ผู้นำประเทศอื่นๆ พยายามทำให้มันสงบ แน่นอนว่า เขาก็จะขายอาวุธไม่ได้ และแน่นอนว่าเขาจะไม่มีเงินในการจ่ายดอกเบี้ย สุดท้ายเขาก็เจ้งแน่นอน แต่ ณ ตอนนี้ทุกประเทศไม่ได้ทำอย่างนั้น เพราะกลัวว่าถ้าสหรัฐฯ เจ้งแล้วใครจะมาจ่ายหนี้ให้ เพราะทุกประเทศเป็นเจ้าหนี้ของสหรัฐอเมริกาแทบทั้งนั้น...

    ในส่วนประเทศไทย ขอให้เดินตามแนวทางความสงบและความสุขของคนในชาติเป็นหลัก เน้นค้าขายหารายได้เข้าประเทศ ดีกว่าเน้นสงครามตามความต้องการของมหาอำนาจ เราอาจจะมีขั้วทางการเมือง แต่เราจะต้องไม่มีขั้วในสังคมโลก ดังนั้นในช่วงเวลานี้ค่าเงินอ่อน เราควรเร่งส่งออกให้มากขึ้น อย่าไปแทรกแซงค่าเงินเพราะจะเข้าทางมหาอำนาจ ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เน้นส่งออกสินค้าไทยด้วยเงินบาท หรือดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเพื่อดึงค่าเงินบาทให้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เงินบาทเป็นที่ต้องการ เจรจาประเทศเพื่อนบ้านให้สามารถใช้เงินบาทในบ้านเขาได้ ซื้อขายในระบบเงินบาท และสกุลอื่นแทน และอื่นๆ แต่อย่าแทรกแซงค่าเงินเด็ดขาด... ซึ่งคิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเขารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

    ไม่มีคนรวยคนไหนอยากอยู่ในประเทศที่มีสงครามแน่นอน  เพราะถ้ามีสงครามเกิดขึ้น คนรวย เขาก็ย้ายหนีกันหมด เหลือเอาไว้แต่คนจนที่รับกรรมในประเทศกันต่อไป... 


By: KCAN

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2565

รู้จักกับเครื่อง AED (Automatic External Defibrillator)

หลายคนอาจจะรู้จัก และคุ้นเคยกับเครื่อง AED นี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในวงการแพทย์ วงการกู้ชีพฉุกเฉิน แต่ผมเชื่อว่ายังเป็นคนส่วนน้อยของสังคมที่รู้จักกับเจ้าเครืองนี้ และรู้ถึงความสำคัญและใช้งานเจ้าเครื่องนี้เป็น แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมผมเชื่อว่าไม่รู้จักกับเจ้าเครื่องนี้เลย และให้ความสำคัญกับเจ้าเครื่องนี้น้อยมากๆ เพราะคิดเสมอว่าเป็นเครืองมือทางการแพทย์ และคนที่ใช้ก็ควรจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก


AED (Automatic External Defibrillator) หรือเครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดกึ่งอัตโนมัติ และ/หรืออัตโนมัติ 100% คือเครื่องที่จะช่วยวินิจฉัยและช่วยชีวิตผู้ป่วยที่เกี่ยวกับโรคหัวใจฉับพลัน ด้วยการช็อตไฟฟ้า ทำให้สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้

ปัจจุบันเราจะเห็นว่ามีตู้เก็บเครื่อง AED และป้ายแสดงตำแหน่งการวางเครื่องในหลายๆ พื้นที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่สนามบิน และอื่นๆ กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีซักกี่คนที่รู้ว่ามันใช้งานยังไง เวลาที่พบผู้ป่วยล้มลงหมดสติอยู่ตรงหน้า...

ถ้าหากว่าคุณพบคนใกล้ตัว เพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้อง หรือใครก็ไม่รู้ ล้มลง และหมดสติอยู่ตรงหน้า สื่งที่คุณต้องรีบทำคือ ดูอาการของผู้ป่วยคนดังกล่าวก่อนว่าเขายังหายใจเป็นปกติอยู่หรือเปล่า หรือหยุดหายใจ หรือมีอาการหายใจแบบที่เราเรียกว่า เฮือก คือคนใจสิ้นลมหายใจแล้ว...

จากนั้นสิ่งที่คุณต้องรีบทำคือ การขอความช่วยเหลือจากคนแถวๆ นั้น ด้วยการตะโกนออกไปดังๆ "ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีคนหมดสติ ช่วยโทร 1669 หาเครื่อง AED มาด้วย"  

ทั้งนี้การโทรแจ้ง 1669 จะต้องแจ้งพิกัดหรือตำแหน่งที่เกิดเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบอย่างชัดเจนด้วย เพื่อความรวดเร็วในการเข้าถึงจุดเกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ และเราจะต้องทำการช่วยเหลือในเบื้องต้นก่อนที่ เจ้าหน้าที่จะมาถึง ด้วยการทำ CPR (กดหน้าอก) หรือ อย่างน้อยก็ทำหน้าที่ติด PAD ของเครื่อง AED เข้ากับตัวผู้ป่วย และให้เครื่อง AED ทำหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยไปเรื่อยๆ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง

คลิป VDO การใช้งานเครื่อง AED

ในบล๊อกนี้ เราจะพูดกันถึงรายละเอียดของเครื่อง AED กันว่าถ้าหากเราจะเลือกซื้อเครื่อง AED ซักเครื่อง เราควจจะต้องรู้อะไรบ้าง

1) ลักษณะการทำงาน เครื่อง AED ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2ประเภทดังนี้
    1.1) แบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งจะเหมาะกับบุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานกู้ชีพ ที่ได้รับการฝึกอบรม จุดสังเกตุของรุ่นกึ่งอัตโนมัติคือ มีปุ่มปล่อยพลังงานไฟฟ้า คือเวลาจะปล่อยพลังงานออกมาช๊อตผู้ป่วย จะต้องทำการกดปุ่มช๊อตทุกครั้ง 
ข้อดี คือปลอดภัยกับผู้ใช้  เพราะเวลาจะปล่อยพลังงานเพื่อช๊อตผู้ป่วย ผู้ใช้จะเป็นคนกดปุ่ม
ข้อเสีย คือถ้าคนทั่วๆ ไป อาจไม่ได้กด (ลืม) หรือไม่กล้ากดปุ่มปล่อยพลังงานออกมาช๊อตผู้ป่วย
    1.2) แบบอัตโนมัติ จะเหมาะกับคนทั่วๆ ไป (ภาคประชาชน)  บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานกู้ชีพ ที่ได้รับการฝึกอบรม จุดสังเกตุของรุ่นอัตโนมัติคือ ไม่มีปุ่มปล่อยพลังงานไฟฟ้า คือเวลาจะปล่อยพลังงานออกมาช๊อตผู้ป่วย  จะแจ้งด้วยภาพและเสียงจากนั้นจะปล่อยพลังงานออกมาช๊อตเองโดยอัตโนมัติ 
ข้อดี คือเครื่องจะปล่อยพลังงานออกมาช๊อตผู้ป่วยเองโดยอัตโนมัติ ถ้าวิเคราะห์แล้วว่าเกิดจากปัญหาการเต้นของหัวใจ และจะทำซ้ำไปเรื่อยๆ เองจนกว่าหัวใจผู้ป่วยจะกลับมาเต้นอีกครั้ง
ข้อเสีย คือความปลอดภัย คือต้องตั้งใจฟังสิ่งที่เครื่องแจ้งออกมาตลอดเวลา เพราะเวลาที่เครื่องปล่อยพลังงานออกมาช๊อตผู้ป่วย แล้วมีใครแตะตัวผู้ป่วยอยู่ก็อาจถูกไฟช๊อตได้

คุณลักษณะที่สำคัญในการเลือกเครื่อง AED

2) เทคโนโลยี่การวิเคาระห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะต้องการผ่านมาตราฐานต่างๆ ที่กำหนดเอาไว้โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น AHA, ERC, หรือ อย. เป็นต้น
3) รูปแบบของคลื่นไฟฟ้าที่ปล่อยออกไปช๊อตผู้ป่วยว่าเป็นแบบ Biphasis (ฺBTe) หรือไม่  
4) พลังงานที่ปล่อยออกมากระตุกไฟฟ้าหัวใจ ว่ามากน้อยเท่าไหร่ (หน่วยวัดเป็น จูล) 
5) ความเร็วในการช๊อตในครั้งแรก หลังเปิดเครื่อง จนถึงพร้อมช๊อตว่าใช้เวลาสั้นเท่าไหร่ (หน่วยวินาที)
6) ความทนทานของแบตเตอรี่ ว่ามีความจุเท่าไหร่ ใช้งานได้กี่ครั้ง (กี่ช๊อต) ที่พลังงานเท่าไหร่
7) การแสดงความพร้อมใช้งานของเครื่อง แสดงอย่างไร เห็นชัดเจนหรือไม่ ถ้าแบตฯ ใกล้หมดมีการแจ้งเตือนมั๊ย อย่างไร
8) การรับประกันตัวเครื่องพร้อมวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ เช่นแบตเตอรี่ และ PAD เป็นต้น
9) สถานที่ที่ใช้เครื่อง เช่นความสูงเหนือระดับน้ำทะเล บนภูเขา บนเครื่องบิน บนเฮลิคอปเตอร์ หรือบนรถฉุกเฉิน ซึ่งจะมีมาตราฐานการทดสอบต่างๆ รองรับเอาไว้ ว่าสามารถผ่านทุกมาตราฐานหรือไม่
10) การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้เครื่อง เช่น ภาษาที่ให้การช่วยเหลือเลือกได้กี่ภาษา ภาพประกอบ และอื่นๆ 

11) มีสัญญาณนาฬิกาบอกความถี่เพื่อช่วยในการกดหน้าอกผู้ป่วยหรือไม่
12) มีการบันทึกข้อมูลต่างๆ ในการใช้เครื่องหรือไม่
13) เครื่องสามารถทดสอบตัวเองว่ายังพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลาหรือไม่
14) ผ่านมาตราฐานการตกกระแทกที่ความสูงเท่าไหร่ และผ่านกี่ด้าน ?
15) ผ่านมาตราฐานกันน้ำ กันฝุ่น หรือไม่
16) สามารถใช้กับเด็กได้ด้วยหรือไม่
17) ราคาเครื่อง และราคาวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ
18) รูปร่าง และน้ำหนักของเครื่อง


วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

วันแม่ 2565

 


วันแม่ 2565 อีกหนึ่งเทศกาลที่ได้ไปเที่ยวกันครบครอบครัว โดยคุณภรรยาเป็นตัวตั้งตัวตีในการไปในครั้งนี้ จุดหมายก็คือ ไร่สายธารา รีสอร์จ ต.ชะอม อ.แก่งคอย สระบุรี  อันนี้ไม่ได้ค่าโฆษณาใดๆ จากทางรีสอร์จนะครับ


แค่เราไปมากันจริงๆ โดยที่ลูกสาว 2คนเป็นคนหาสถานที่ และภรรยาเป็นคนดำเนินการ ในฐานะแม่ของลูกทั้ง 2คน ส่วนผมก็มีหน้าที่ชวนแม่ผม ขอให้ไปเที่ยวด้วย เพราะว่าเขาไม่อยากจะไปเพราะบอกว่าไปนอนที่อื่น ที่ไม่ใช่บ้านแล้วนอนไม่หลับ แต่ก็ต้องพยายามชวนจนแกยอมไปในฐานะแม่ของลูกอย่างผม


เราออกเดินทางกันเที่ยงๆ ของวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งก็เป็นวันแม่แห่งชาติ และก็ตรงกับวันสาร์ทจีนด้วย โดยตอนเช้า เราก็ไหว้พ่อผมอยูที่บ้านก่อน จนประมาณ 11โมงเช้า ก็เก็บของ อาบน้ำแต่งตัวและเดินทาง


ซึ่งระยะทางจากบ้านผมไปถึงที่รีสอร์ท ถ้าเป็นแบบปกติ ก็น่าจะชั่วโมงเศษๆ แต่ว่าวันที่เดินทางช่วงนั้นฝนตกอย่างหนักแทบจะตลอดทาง จากอำเภอหินกอง  ไปจนถึงรีสอร์ทเลยทีเดียว ไม่ใช่ตกเบาๆ นะครับ แต่ตกอย่างแรงเลยทีเดียวเชียว 


จนทำให้วันแรกเราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะถ่ายรูปอยู่ในห้อง หรือว่าหน้าห้องเท่านั้น เพราะฝนตกตลอด มีหยุดบ้างแต่ก้แป๊บเดียวแล้วก็ตกลงมาใหม่ เบาบ้าง แรงบ้างสลับไป เลยกลัวว่าแม่จะไม่สบายและติดเชื้อโควิด-19 ด้วย 


ช่วงเย็นๆ ก็นั่งล้อมวงกินหมู่กะทะกัน โดยสั่งจากในรีสอร์จนี่แหละครับ เพราะเขามีบริการอยู่ โดยราคาก็ชุดละ 300บาท เรียกว่าแพงกว่าข้างนอกเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในช่วงราคาที่ยอมรับได้ ก็เลยสั่งมา 2ชุด 600บาท หาร 6คนก็คนละ 100เอง จากนั้นก็มอบของขวัญวันแม่ของลูกสาว 555 คำเติอน การดื่มสุรา ทำให้ความสามารถหลายๆ อย่างลดลง 


เช้าวันที่ 2 อากาศเปิด ก็เลยชวนแม่ผม ออกไปเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์จกัน ซึ่งก็จมีลูกสาวคนที่ 2 ออกไปเดินด้วย ในขณะที่คนอื่นอาบน้ำแต่งตัวกันอยู่




ก่อนที่จากออกเดินทางจากที่พัก เพื่อไปแวะหาข้าวเช้า + เที่ยง และกาแฟกินกันต่อที่ร้าน รติ-ชา ร้านอาหารเล็กๆ ในทุ่งกว้างๆ ย่านองครักษ์ บรรยากาศดีเลยครับ เป็นร้านอาหารชาวมุสลิมที่อร่อยมากๆ ทั้งก๊วยเตียวไก่ โรตี และอื่นๆ



ความสุขง่ายๆ รอบๆ ตัว แถมยังได้ช่วยชาวบ้านอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ชีวิคคนเราก็เพียงนักเดินทาง...

มีคนบอกว่า เราทุกคนเป็นนักเดินทางตลอดช่วงชีวิต 

  สงสัยไหมครับทำไมเขาถึงบอกแบบนั้น ที่เขาบอกก็คือเราเดินทางรอบดวงอาทิตย์ หนึ่งรอบในทุกปี ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงเลยใช่ไหมครับ ว่าแต่คุณเดินทางรอบดวงอาทิตย์กันมาแล้วกี่รอบ ?  และการเป็นนักเดินทางที่ดีก็คือ ต้องไม่แบกอะไรติดตัวเราไปมากนัก ต้องทำตัวให้สบายๆ ถ้ามีอะไรหนักเกินไปก็วางลง หรือทิ้งมันไปซะ เพราะมันจะเป็นอุปสรรคในการเดินทางอย่างมาก อย่าแบกทุกอย่างไปตลอดชีวิต  เพราะมันก็จะหนักมาก


  การเป็นนักเดินทางเวลาที่เราไปนอนค้างที่ใด เวลาที่ได้ห้องพักที่ดี เราก็นอนกันไปปกติ แต่ถ้าได้ห้องที่ไม่ดี ก็อย่าไปตีโพยตีพาย ให้คิดซะว่านอนคืนเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ไปแล้ว โดยสิ่งที่คนที่เล่าเรื่องต้องการที่จะเปรียบเทียบก็คือ ชีวิตของคนเรา


  ว่าชีวิตคนเราเหมือนคนเดินทาง อย่าไปจริงจังอะไรมากนัก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทุกอย่างที่เราเดินทางผ่านในชีวิตของเราจะเป็นเรื่องชั่วคราวทุกอย่าง ช่วงเวลาเดินทางในวัยเด็ก เราจะมีตำแหน่งเป็นลูก ของพ่อแม่ เป็นลูกศิษย์ของ ครูบาอาจารย์ จนกระทั่งเวลาที่เดินทางมาเป็นวัยทำงาน เราก็จะมีตำแหน่งต่างๆ ตามอาชีพ เมื่อแต่งงาน ก็จะมีตำแหน่ง สามี ภรรยา  พอเราเดินทางมาจนเรามีลูก เราก็จะมีตำแหน่ง พ่อ หรือแม่ 


  จากนั้นพอเราเดินทางมาสู่วัยชรา เราก็จะเปลี่ยนตำแหน่งไปอีก เช่น ตำแหน่ง ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นคนไข้ของคุณหมอ และก็อีกเพียงไม่นาน ก่อนที่เราจะสิ้นสุดการเดินทางในชีวิคของเราลง... และนั่นคือชีวิตนักเดินทาง ให้ทุกๆ การเดินทางของเรา มีความสุขก็เพียงพอ 

By: KCAN

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2565

คน 3 วัย กับ เงื่อนไข 3 อย่าง

    เมื่อช่วงวันเฉลิมฯ 28 ก.ค ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนกับคนที่อยู่ในซอยบ้านเดียวกัน ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้ไปด้วยกันมาครั้งนึงแล้วที่ปากช่อง ซึ่งไปค้างด้วย 1คืน แต่ครั้งนี้เป็นการไปแบบ เช้า เย็นกลับ เพราะว่าแต่ละคนมีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำ และไม่ได้หยุดงานในวันศุกร์ด้วย โดยนัดกันตอนเช้า ว่าจะพาเด็กๆ ไปเล่นน้ำตก ที่แถวนครนายก 

  ปกติครอบครัวของปู่จะไม่ค่อยชอบเทียวเท่าไหร่ ทำแต่งานเพราะปู่จะทำงานคนเดียวและเข้ากะ เป็นสัปดาห์สลับไปมา เช้ากับดึก เลยไม่ค่อยมีเวลาที่ตรงกัน แต่ครั้งนี้กลับเป็นตัวตั้งตัวทีที่อยากไปก็เลยงงๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ไปก็ไป แค่นครนายก ก็ไม่ไกลมากจากบ้าน แค่ 70-80กม.


    เราไปถึงที่วังตะไคร้ ประมาณเที่ยง ซึ่งเด็กๆ ก็เริ่มเล่นน้ำกันเลยทีเดียว น้ำค่อนข้างไหลแรงแต่ว่าไม่ลึกมาก ประมาณ ต้นขาไม่ถึงเอว น้ำเย็นมาก พอเล่นน้ำซักพักก็ขึ้นมานั่งกินข้าวและเครื่องดื่มกันเล็กน้อย ซึ่งตอนนี้ก็ได้นั่งคุยกับปู่ ว่าปกติไม่เห็นจะไปเที่ยวไหนเลย ทำไมงานนี้ถึงเป็นตัวตั้งตัวตีที่อยากมา

  ปู่ก็บอกว่าหลานออกเล่นน้ำตก จากนั้นแกก็เล่าให้ฟังว่าหลังจ
ากที่แกเกือบตายจากโควิด เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่นอนอยู่ในห้อง ICU แกคิดเยอะมาก เรื่องที่ผมเคยเล่าให้แกฟัง เรื่อง

  "คน 3วัย กับ 3เงือนไข" ก็เข้ามาอยู่ในหัวแกด้วย พอแกหายออกมาได้ แกก็คิดว่าควรจะหาโอกาสเที่ยวทุกครั้งที่มีเวลา รวมถึงได้สร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้หลานแกด้วย แกคงจะไม่รอให้เกษียณแล้วค่อยเที่ยวแล้ว 

คน 3วัย กับ 3เงือนไขก็คือ

วันเด็ก ==== มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน เลยไม่ได้เที่ยว

วัยผู้ใหญ่ == มีแรง มีเงิน แต่ไม่มีเวลา เลยไม่ได้เที่ยว

วัยชรา ==== มีเงืน มีเวลา แต่ไม่มีแรง เลยไม่ได้เที่ยว


   แกบอกว่าหลังจากที่แกหายจากโควิดแล้ว แกกลับไปตรวจซ้ำตามที่หมอนัด ปรากฎว่าปอดซ้ายล่างแกขาวไปหมดเลย น่าจะเป็น ลองโควิด ซึ่งแกเองก็รู้สึกอยู่ เพราะทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยไม่ค่อยเหมือนเดิม ดังนั้นถ้ามีเวลาตอนนี้แกก็อยากจะหาความสุขให้กับชีวิต เที่ยวบ้าง กินบ้าง ไม่อยากเก็บเงินอย่างเดียวแล้วค่อยเทียวตอนแก่แล้ว 

By: K.C.A.N


วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

มหาสาคาม สะเดืออีสาน

เห็นหัวเรื่องแล้วไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมสะเดืออีสาน เพราะว่าสะเดือคือจุดๆ หนึ่งบนร่างกายเราที่เรียกว่าอยู่ตรงกลางของร่างกายเราเป๊ะ ซึ่งเปรียบจังหวัดมหาสารคามที่อยู่ตรงกลางภาคอีสานเป๊ะ หรือเหมือน กรุงเทพฯ ที่อยู่กลางประเทศไทย หรือเหมือนประเทศไทย ที่อยู่ตรงกลางภูมิภาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อะไรประมาณนั้นครับ ซึ่งคนอีสานเขาเลยเรียกขานว่าเป็นสะเดืออีสาน


ด้วยตำแหน่งที่ตั้ง ที่ได้เปรียบมากทางภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานแล้ว ยังเป็นจังหวัดเดียวในภาคอีสานที่ไม่มีภูเขาเลยซักกะลูก... เป็นที่ราบ 100% จนได้สโลแกนที่ว่า "ไม่มีเขา เราก็อยู่ได้..." 555 มันเกี่ยวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ 

แต่อยากจะบอกว่า ภูมิประเทศแบบนี้ ชัยภูมิแบบนี้ ในความรู้สึกส่วนตัวของผม มหาสารคามจึงเหมาะมากๆ ที่จะเป็นฮับ (HUB) สำหรับการเป็นศูนย์กระจายสินค้าอย่างมากๆ สำหรับภูมิภาคแห่งนี้ เรียกว่าน่าจะเป็นจังหวัดเดียวเลย ที่สามารถวิ่งไปทุกๆ จังหวัดในภาคนี้ด้วยเวลา ประมาณ 3-4ชั่วโมงเท่านั้น นั่นคือสามารถที่จะไปส่งตอนเช้า และกลับตอนเย็นได้ใน 1วัน 

มหาสารคาม - หนองคาย

มหาสารคาม - บุรีรัมย์

มหาสารคาม - เลย

ไม่ต้องเชื่อผมทั้งหมดนะครับ แต่ว่าเท่าที่ผมลองคำนวนระยะทางและเวลาการเดินทางจากมหาสารคาม ไปตามจังหวัดต่างๆ ในภูมิภาค โดยใช้แผนที่ Google แล้ว ก็จะได้ตามรูปต่างๆ ที่โพสต์ครับ  ท่านเองก็สามารถทำได้ บนมือถือของตัวเองครับ 

มหาสารคาม - นครพนม


มหาสารคาม - อุบลราชธานี

แต่ๆ ทำไมมหาสารคามในปัจจุบัน ถึงได้มีเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดีนะ สงสัยมากๆ นั่นก็คงเป็นเพราะว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้ดูถึงศักยภาพทางภูมิศาสตร์ และส่งเสริมให้ถูกกับชัยภูมิที่ตั้งของจังหวัดนั้นๆ นั่งเอง ผมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลนี้นะครับ เพราะมหาสารคาม ตั้งอยู่ที่ตำแหน่งนี้ย้อนหลังไปหลาย รัฐบาลแล้ว ซึ่งก็ไม่เคยมีรัฐบาลไหนให้ความสำคัญกับจังหวัดนี้เลย...

แต่ว่าตอนนี้ ความลับ และศักยภาพของมันกำลังถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นทุกบริษัทฯ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Logistic คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า และอื่นๆ ให้รีบเข้าไปจับจองพื้นที่กันก่อนครับ เพราะราคาที่ดินของมหาสารคามยังไม่ถือว่าแพงมาก ก่อนที่รถไฟทางคู่ จะเข้าไป และนั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนของจังหวัดที่อยู่กลางภาคอีสาน และถูกซ่อนศักยภาพอันนี้เอาไว้นานแสนนานเช่นกัน ยิ่งถ้าหากว่ารัฐบาลรู้ และลงทุนสร้างสนามบินด้วยแล้วละก็ มหาสารคามจะกลายเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคม ของภูมิภาคเลยทีเดียว... อันนี้แอบกระซิบบอกเอาไว่ก่อนครับ แต่ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลที่มีผู้นำ ที่มีเซลล์สมอง 84,000แสนล้านเซลล์ จะทำหรือเปล่า 555  " ศักยภาพดี แต่ไม่มีใครเห็น "


By: KCAN